คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2362/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ 4 คน ร่วมกันฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์โดยตั้งทุนทรัพย์รวมกันเป็นเงิน 6,514 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทออกเป็น 9 ส่วนให้โจทก์ได้คนละ 1 ส่วน ดังนี้ เมื่อโจทก์ทั้ง 4 ฟ้องรวมกันเป็นเงินเกินกว่า 5,000 บาทแล้ว จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2515)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่านายหนูกับนางขอ ทับทิมสุข เป็นบิดามารดาโจทก์ทั้งสี่และจำเลย นางขอมีกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๒ ร่วมกับนางวาด พูลผล ที่ดินเฉพาะส่วนของนางขอมีเนื้อที่ ๑๑ ไร่ ๒ งาน๗๖ ตารางวา นอกจากนี้นางขอยังมีเรือมากอีกหนึ่งลำ นางขอได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๐๙ โดยไม่มีพินัยกรรมและไม่มีทายาทอื่น เมื่อนางขอถึงแก่ความตายแล้ว โจทก์จำเลยต่างได้ครอบครองที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๒ เฉพาะส่วนกับเรือมาดร่วมกันตลอดมา เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๐ จำเลยได้ไปขอประกาศรับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนางขอตามโฉนดที่ ๑๖๘๒ ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โจทก์ทั้งสี่ได้ไปยื่นคำขอคัดค้านไว้ ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการเปรียบเทียบ แต่จำเลยไม่ตกลง ตามโฉนดที่ ๑๖๘๒ เฉพาะส่วนของนางขอนี้ มีทายาทที่ควรได้มรดก ๙ คนโจทก์ ๔ คนคงมีส่วนได้รวมกัน ๕ ไร่ ๗๗ วา ราคาประมาณ ๕,๐๐๐ บาทกับส่วนได้ในเรือมาด ราคาประมาณ ๑,๘๐๐ บาท โจทก์จึงมีส่วนได้รวมกันเป็นเงิน ๘๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕,๘๐๐ บาท ในฤดูทำนา พ.ศ. ๒๕๑๐จำเลยได้ละเมิดเข้าทำนาในที่ดินมรดกของนางขอแต่ผู้เดียว ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้เป็นข้าวเปลือก คิดเป็นเงิน ๗๑๔ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งที่ดินกับเรือมาดดังกล่าวให้โจทก์ ๔ คน ได้ ๔ ใน ๙ ส่วนและใช้ข้าวเปลือกหรือเงินปีละ ๗๑๔ บาท จนกว่าจะแบ่งแยกที่ดินเสร็จ
จำเลยให้การว่า นางขอได้รับมรดกที่ดินโฉนดที่ ๑๖๘๒ เนื้อที่ ๓๕ ไร่เศษส่วนของนางขอประมาณ ๑๕ ไร่เศษ ส่วนของนางวาด ประมาณ ๒๐ ไร่เมื่อประมาณ ๑๗-๑๘ ปีมานี้ นางขอประกอบอาชีพด้วยตนเองไม่ได้ทั้งมีหนี้สินอยู่กับผู้อื่น นางขอจึงตกลงยกที่ดินส่วนของนางขอพร้อมด้วยเรือมาดให้จำเลย โดยให้จำเลยรับใช้หนี้และอุปการะเลี้ยงดูนางขอไปจนกว่าจะตาย จำเลยชำระหนี้แทนนางขอไป นางขอได้มอบที่ดินและเรือให้จำเลย จำเลยได้ครอบครองที่ดินประมาณ ๑๕ ไร่เศษ พร้อมด้วยเรือมาดโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องโต้แย้งจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและเรือ การที่จำเลยเข้าทำนาในที่ดินพิพาท จำเลยถือว่าเข้าทำนาในที่ดินของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงไม่น่าเชื่อว่านางขอจะยกทรัพย์พิพาทให้จำเลย ฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนางขอเจ้ามรดก โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งนาพิพาทจากจำเลยได้พิพากษาให้แบ่งนาพิพาทเฉพาะส่วนนางขอและเรือมาดออกเป็น ๙ ส่วนให้โจทก์ได้รับคนละ ๑ ส่วน ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายปีการทำนาปีละ๙๐๐ บาท จนกว่าจะแบ่งนาพิพาทเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ได้ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกนางขอ กับโจทก์ขอให้จำเลยใช้เงินค่าละเมิดที่จำเลยมิให้โจทก์เข้าทำนา ซึ่งโจทก์ตั้งทุนทรัพย์มาในฟ้องรวมเป็นเงิน ๖,๕๑๔ บาทจำเลยต่อสู้ว่าที่นากับเรือมาดเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนางขอ และพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาทออกเป็น ๙ ส่วนให้โจทก์ได้คนละส่วน ปัญหาที่ว่าจำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต่อมาได้หรือไม่ ในข้อนี้ ศาลฎีกาได้มีมติโดยที่ประชุมใหญ่ว่าเมื่อโจทก์ทั้งสี่ได้ร่วมกันฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ รวมกันเป็นเงินเกินกว่า ๕,๐๐๐ บาทแล้ว จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีแล้ว
พิพากษายืน

Share