แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวในคำฟ้องเพียงว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ย เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เรียกค่าชดเชยและค่าจ้างที่ค้างจากจำเลย ทั้งมิได้มีคำขอบังคับให้จำเลยรับผิดในเงินดังกล่าวแต่อย่างใด การที่ศาลแรงงานพิพากษาล่วงเลยไปให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างที่ค้างจ่ายพร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินดังกล่าว จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง และไม่ใช่เป็นกรณีเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความซึ่งศาลแรงงานจะมีอำนาจพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับได้ ที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม ทั้งไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าด้วย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้และครอบครัวของโจทก์ต้องเดือดร้อน ต้องไปกู้เงินจากบุคคลอื่นมาใช้จ่ายในครอบครัว ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม และอัตราค่าจ้างเท่าเดิม และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างประจำนับแต่วันฟ้องถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของยอดเงินค่าเสียหายและให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้โจทก์นับจากวันเลิกจ้างถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,466 บาท
จำเลยให้การด้วยวาจาว่า โจทก์จงใจฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 32,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 มกราคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 1,063.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 15 มกราคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลย แต่การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์กระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในกรณีที่ไม่ร้ายแรง เมื่อจำเลยไม่เคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือกรณีจึงยังไม่เข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 47(3)โจทก์ทำงานเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 3 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย32,400 บาท เพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ อาศัยอำนาจตามมาตรา 52แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 จึงพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ 32,400 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 7 มกราคม2535 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ และจำเลยรับว่าค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ 1,080 บาท หักเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 16.20 บาท เหลือ 1,063.80 บาท จึงต้องจ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52 บัญญัติว่า”ห้ามมิให้ศาลแรงงานพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ในกรณีที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความจะพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับก็ได้”ตามคำฟ้อง โจทก์กล่าวในฟ้องเพียงว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เรียกค่าชดเชยและค่าจ้างที่ค้างจ่ายจากจำเลยทั้งมิได้มีคำขอบังคับให้จำเลยรับผิดในเงินดังกล่าวแต่อย่างใดดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาล่วงเลยไปให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างที่ค้างจ่ายพร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินดังกล่าว จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง และไม่ใช่เป็นกรณีเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความซึ่งศาลแรงงานกลางจะมีอำนาจพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอบังคับได้ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมด้วยดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52 อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนที่พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจากจากจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง