คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8388/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงที่มีข้อความว่า หากโจทก์ได้รับเงินจำนวนตามที่ระบุไว้ครบถ้วน โจทก์ก็ไม่ติดใจเรียกร้องไม่ว่าทางแพ่งหรือทางอาญาหรือไม่ติดใจเอาความอีก และจำเลยต้องนำข้อตกลงนี้ไปเสนอต่อกรรมการของจำเลยร่วมก่อน ข้อตกลงดังกล่าวย่อมไม่ได้ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้นไปทีเดียว จึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย จ.9 มีผลบังคับใช้เช่นเดียวกับสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้สิทธิที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยที่ 2 ระงับ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีไปฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ (เอกสารหมาย จ.9) แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ว่า เอกสารหมาย จ.9 ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสารหมาย จ.9 ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ความรับผิดในมูลละเมิดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ยังคงมีอยู่ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีไปฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความใหม่ไม่ชอบ ปัญหาว่าเอกสารหมาย จ.9 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่จึงเกี่ยวกับอำนาจฟ้องที่โจทก์จะนำคดีไปฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่โดยอาศัยเอกสารหมาย จ.9 ได้หรือไม่ จึงเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 700,242 บาท โดยให้จำเลยร่วมรับผิดไม่น้อยกว่า 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน (ป้ายแดง) ช – 9797 กรุงเทพมหานคร เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กันยายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีไปฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมชำระเงินจำนวน 390,242 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กันยายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยร่วมว่า ข้อความตามเอกสารหมาย จ.9 และ จ.12 มีผลเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.9 และ จ.12 ต่างยังมีเงื่อนไขอยู่ว่าหากโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวตามข้อความในเอกสารครบถ้วนก็ไม่ติดใจเรียกร้องไม่ว่าทางแพ่งหรือทางอาญา หรือไม่ติดใจเอาความอีก และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแขวงดุสิตเอกสารหมาย จ.9 ทนายจำเลยก็แถลงว่าจะต้องนำข้อตกลงดังกล่าวไปเสนอต่อกรรมการของจำเลยร่วม ข้อตกลงดังกล่าวย่อมมิได้ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้นไปทีเดียว ซึ่งข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ว่าเงื่อนไขตามข้อตกลงมิได้ดำเนินการให้สำเร็จไป ข้อตกลงดังกล่าวย่อมไม่อาจใช้บังคับได้ ข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลทำให้มูลหนี้ที่เกิดจากการกระทำละเมิดระงับไป การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเอกสารหมาย จ.9 มีผลบังคับเช่นเดียวกับสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้สิทธิที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยที่ 2 ระงับ พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีไปฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ว่าเอกสารหมาย จ.9 ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ เห็นว่า เอกสารหมาย จ.9 ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ความรับผิดในมูลละเมิดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ยังคงมีอยู่ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีไปฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความใหม่ไม่ชอบ ปัญหาว่าเอกสารหมาย จ.9 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่จึงเกี่ยวกับอำนาจฟ้องที่โจทก์จะนำคดีไปฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่โดยอาศัยเอกสารหมาย จ.9 ได้หรือไม่ จึงเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาท แทนโจทก์

Share