คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3362/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ที่เรียกเงินเดือนซึ่งจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ในระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2518 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2521 คืนโดยได้แจ้งจำนวนยอดรวมทั้งหมดแล้ว ถือว่าชัดแจ้งพอที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ ถ้ายอดจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องมานั้นมากกว่าที่จำเลยได้รับ จำเลยก็ชอบที่จะต่อสู้มาในคำให้การได้โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้รับเดือนละเท่าใด หักภาษีแล้วเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยได้รับเงินเดือนทั้งจากโจทก์และกรุงเทพมหานครเป็นการฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปีบำเหน็จ บำนาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2505 ซึ่งกำหนดให้จำเลยรับเงินเดือนได้เพียงตำแหน่งเดียว เป็นกรณีที่จำเลยได้รับทรัพย์สินไปจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ อันเป็นลาภมิควรได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์คืนได้ คำให้การของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนซึ่งเงินเดือนที่จำเลยได้รับจากโจทก์นั้นเกินกว่าสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเป็นคำให้การชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความแล้วการที่จำเลยได้รับเงินจากโจทก์อันปราศจากมูลที่จะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ เข้าลักษณะลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 จำเลยจึงจำต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่สิทธินั้นได้มีขึ้นดังนั้นเงินที่จำเลยได้รับไปนับแต่วันฟ้องย้อนหลังไปเกินสิบปีจึงขาดอายุความ จำเลยจำต้องคืนเงินที่จำเลยได้รับไปเฉพาะส่วนที่นับแต่วันฟ้องย้อนหลังไปไม่เกินสิบปีเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการครูสังกัดกรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยได้สอบคัดเลือกเข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการครูสังกัดกรมสามัญศึกษาโจทก์ตั้งแต่วันที่15 พฤษภาคม 2518 โดยจำเลยได้รับเงินเดือนสองแห่งสองตำแหน่งตลอดมา ต่อมา จำเลยได้ลาออกจากราชการของกรุงเทพมหานครการที่จำเลยดำรงตำแหน่งข้าราชการในขณะเดียวกันสองตำแหน่งพร้อมกันเป็นการฝ่าฝืนมติของคณะรัฐมนตรี ด่วนที่ นว.26/2489โดยมิได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและเป็นการฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จบำนาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2505 ซึ่งกำหนดให้จำเลยรับเงินเดือนได้เพียงตำแหน่งเดียว โจทก์มีสิทธิเรียกคืนเงินเดือนระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2518 ถึงวันที่30 มิถุนายน 2521 ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 69,944.44 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 69,388.38 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยยังไม่แสดงเจตนาเลือกขอรับเงินเดือนในตำแหน่งใดจึงยังไม่เกิดข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิ หรือหน้าที่หรือจะต้องใช้สิทธิทางศาล ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ได้ปฏิบัติฝ่าฝืนมติของคณะรัฐมนตรี ด่วนที่ นว.26/2489 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 205 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2506 แต่อย่างใด ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวถูกยกเลิกแล้วโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนซึ่งเงินเดือนที่จำเลยได้รับจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2518 นั้นเกินกว่าสิบปีแล้วฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 69,388.38 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่22 ธันวาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้นซึ่งจำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้นเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ที่เรียกเงินเดือนซึ่งจำเลยได้รับจากโจทก์ในระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2518 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2521คืนโดยได้แจ้งจำนวนยอดรวมทั้งหมด 69,388.38 บาท ชัดแจ้งพอเพียงที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้อยู่แล้ว ถ้ายอดจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องมานั้นมากว่าที่จำเลยได้รับ จำเลยก็ชอบที่จะต่อสู้มาในคำให้การได้ โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยรับไปเดือนละเท่าใด รวมกี่เดือนเงินสะสมเท่าใดหักภาษีไปแล้วเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ.2505 ซึ่งกำหนดให้จำเลยรับเงินเดือนได้เพียงตำแหน่งเดียว จำเลยยังไม่ได้แสดงเจตนาว่าจะเลือกรับเงินเดือนในตำแหน่งใด และโจทก์ยังไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าจะให้จำเลยรับเงินเดือนทางใด และขอคืนในอัตราของตำแหน่งใดก่อน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าว ทั้งเป็นกรณีที่จำเลยได้รับทรัพย์สินไปจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ อันเป็นลาภมิควรได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์คืนได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือนเงินปี บำเหน็จ บำนาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2505มาตรา 28 ที่บัญญัติให้ข้าราชการรับเงินเดือนในอัตราของตำแหน่งเดียวนั้น หมายความว่าเป็นเรื่องที่ข้าราชการผู้นั้นเพียงแต่ไปดำรงตำแหน่งเท่านั้น มิได้ไปปฏิบัติหน้าที่จริง ๆ ซึ่งผิดกับกรณีของจำเลยซึ่งได้ไปปฏิบัติหน้าที่โดยตรงทั้งสองแห่งและโดยมิได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมีความหมายรวมทั้งกรณีที่ข้าราชการผู้นั้นได้ไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งสองตำแหน่งหรือหลายตำแหน่งด้วยและถึงแม้การไปดำรงตำแหน่งมากกว่าหนึ่งตำแหน่งของจำเลยจะมิได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อน ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินเดือนทั้งสองตำแหน่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจ่ายเงินเดือนเงินปี บำเหน็จ บำนาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2505มาตรา 28 บัญญัติว่า ข้าราชการซึ่งในขณะเดียวกันดำรงตำแหน่งมากกว่าหนึ่งตำแหน่งให้จ่ายเงินเดือนในอัตราของตำแหน่งเดียวกันแล้วแต่จะเลือกขอรับในอัตราตำแหน่งใด แต่จำเลยได้ลาออกจากข้าราชการกรุงเทพมหานครและรับราชการกรมสามัญศึกษาโจทก์ต่อเนื่องมาถือว่าเป็นการแสดงเจตนาจะรับเงินเดือนจากโจทก์แล้วนั้นจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาวา ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ใหม่)นั้น เห็นว่าตามคำให้การของจำเลย จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืน ซึ่งเงินเดือนที่จำเลยได้รับจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม2518 เกินกว่าสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งและแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความแล้ว ส่วนอายุความที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้นั้นจะต้องด้วยบทกฎหมายลักษณะใดเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเอง โดยที่จำเลยได้รับเงินจากโจทก์อันปราศจากมูลที่จะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ เข้าลักษณะลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406จำเลยจำต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่อายุความสำหรับเรียกทรัพย์คืนในเรื่องลาภมิควรได้นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 419 บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ดังนั้น เงินที่จำเลยได้รับไปนับแต่วันฟ้องย้อนหลังไปเกินสิบปีจึงขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน จำเลยจำต้องคืนเงินที่จำเลยได้รับไปเฉพาะส่วนที่นับแต่วันฟ้องย้อนหลังไปไม่เกินสิบปีเท่านั้น ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 29 เมษายน2531 จึงมีเงินเดือนที่โจทก์ยังมีสิทธิเรียกคืนเพียงของเดือนเมษายน2521 ถึงเดือนมิถุนายน 2521 รวม 3 เดือน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 7,184.70 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22ธันวาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share