คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกาศขายไม้ซุงโดยวิธีประมูลปิดซองมีเงื่อนไขในการประมูลว่าผู้ยื่นประมูลจะต้องวางเงินมัดจำซองแพละ 10,000 บาท หากผู้ใดประมูลได้ผู้นั้นจะต้องชำระค่าไม้ซุง 15% ของแต่ละแพที่ประมูลได้ภายใน 15 วัน นับแต่ วันประกาศแจ้งผู้ประมูลได้หากพ้นกำหนดนี้โจทก์จะริบเงินมัดจำซอง ที่วางไว้ ต่อมาคณะกรรมการของโจทก์ปิดประกาศแจ้งให้จำเลยทราบว่า จำเลยเป็นผู้ประมูลไม้ได้จำนวน 5 แพ แล้วโจทก์นำเช็ค ของจำเลยจำนวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งจำเลยวางเงินมัดจำประจำซองไว้ ไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินจำเลยไม่มีในบัญชี และครั้นเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน 15% ของไม้ที่ประมูลได้ จำเลยไม่นำเงินมาชำระ ซึ่งจำเลยจะต้องถูกริบเงินมัดจำซอง 50,000 บาท แต่โจทก์ก็ไม่อาจริบได้เพราะเช็คนั้นไม่มีเงิน จึงขอให้ บังคับจำเลยชำระเงิน 50,000 บาท ดังนี้ ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้อง โดยอ้างสิทธิที่จะริบมัดจำซึ่งได้แก่เช็ครายนี้ คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค เพราะถ้าไม่มีการนำเอา เช็ครายนี้ไปวางมัดจำประจำซองแล้ว ก็ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการ ให้มัดจำไว้ตามมาตรา 377 ตามมาตรา 378(2) ฉะนั้น เมื่อเช็ค ที่โจทก์นำมาฟ้องลงวันที่เกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ตามมาตรา 1002

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกาศขายไม้ซุงโดยวิธีประมูลปิดซองมีเงื่อนไขในการประมูลว่า ผู้ยื่นประมูลจะต้องวางเงินมัดจำซองแพละ 10,000 บาท หากผู้ใดประมูลได้ผู้นั้นจะต้องชำระค่าไม้ซุง 15 % ของแต่ละแพที่ประมูลได้ภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศแจ้งผู้ประมูลได้ หากพ้นกำหนดนี้ โจทก์จะริบเงินมัดจำซองที่วางไว้ ต่อมาคณะกรรมการของโจทก์ได้ปิดประกาศแจ้งให้จำเลยทราบว่าจำเลยเป็นผู้ประมูลไม้ได้จำนวน 5 แพ แล้วโจทก์นำเช็คของจำเลยจำนวน 50,000 บาทซึ่งจำเลยวางเงินมัดจำประจำซองไว้ไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงินจำเลยไม่มีในบัญชีและครั้นเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน 15 % ของไม้ที่ประมูลได้ จำเลยไม่นำเงินมาชำระ ซึ่งจำเลยจะต้องถูกริบเงินมัดจำซอง50,000 บาท แต่โจทก์ก็ไม่อาจริบได้เพราะเช็คนั้นไม่มีเงิน จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 50,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะตอนต้นโจทก์บรรยายฟ้องเป็นเรื่องซื้อขาย แต่ตอนท้ายกลับว่าจำเลยไม่ชำระเงินตามเช็ค ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค และขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค และโจทก์ฟ้องมาเกิน 1 ปี จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์นั้น เช็คจำนวน 50,000 บาท รายนี้เป็นเงินวางมัดจำประจำซองที่จำเลยประมูลซื้อไม้ได้ 5 แพ เพราะโจทก์จะยึดเงินมัดจำซองของผู้ประมูลได้ไว้ก่อนเพื่อให้ผู้ประมูลนำเงินร้อยละ 15 ของราคาไปชำระให้โจทก์ภายใน 15 วัน ปรากฏต่อมาว่าโจทก์นำเช็ค 50,000 บาทนี้ไปขึ้นเงินไม่ได้ และภายในกำหนด 15 วัน จำเลยก็ไม่ชำระเงินร้อยละ 15 จำเลยจึงจะต้องถูกริบมัดจำซอง 50,000 บาท แต่เช็ครายนี้ขึ้นเงินไม่ได้ เพราะจำเลยไม่มีเงินในบัญชี โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาท ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 50,000 บาทนั่นเอง เพราะถ้าไม่มีการนำเอาเช็ครายนี้ไปวางมัดจำประจำซองแล้วก็ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการให้มัดจำไว้ตามมาตรา 377 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และไม่อาจริบมัดจำได้ ตามมาตรา 378(2) คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา แต่เป็นการฟ้องโดยอ้างสิทธิที่จะริบมัดจำ สิ่งที่เป็นมัดจำคือเช็ครายนี้เอง ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นมัดจำและโจทก์มีสิทธิริบได้เมื่อเป็นการฟ้องเรียกเงินตามเช็คซึ่งลงวันที่ 15 ธันวาคม 2509 แต่โจทก์มาฟ้องเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2511 และจำเลยก็ต่อสู้อายุความเช่นนี้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามมาตรา 1002 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

พิพากษายืน

Share