แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยและ ส. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกันตามป.พ.พ. มาตรา 1748 แม้ต่อมา ส. ขอออกโฉนดที่ดินพิพาททั้ง 2แปลง โดยลงชื่อตนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว โดยโจทก์ไม่ยินยอมดังนี้ โจทก์ยังคงมีส่วนในที่ดินพิพาทนั้น 1 ใน 3 ส่วน อยู่เช่นเดิม ส. ไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปยกให้จำเลยโดยเสน่หา โจทก์จึงฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงจากจำเลยแปลงละ 1 ใน 3 ส่วนได้ เพราะเป็นกรณีที่เจ้าของรวมเรียกให้แบ่งทรัพย์จากเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นบุตรของนายกล่ำกับนางสิน สร้อยนาค ที่ดินที่ใช้เพื่ออยู่อาศัยและที่ดินที่ใช้เพื่อตกกล้ารวม 2 แปลง เนื้อที่แปลงละ 1 ไร่เศษ ตั้งอยู่ที่ตำบลเฉนียงอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นสินเดิมของนายกล่ำ เมื่อประมาณ 10 ปีมานี้ นายกล่ำ สร้อยนาค ถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ ที่ดินทั้ง 2 แปลงจึงเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ จำเลยกับนางสิน ทั้ง 3 คนนี้ได้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา แต่เมื่อ พ.ศ. 2525 นางสินได้ขอออกโฉนดที่ดินทั้ง 2 แปลง โดยลงชื่อนางสินเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ทั้งนี้โดยนางสินสัญญากับโจทก์ว่าจะทำการแบ่งมรดกของนายกล่ำให้แก่โจทก์จำเลยในภายหลังต่อมาเดือนมกราคม 2528 นางสินถึงแก่ความตาย โจทก์จึงทราบว่านางสินได้จดทะเบียนยกที่ดินทั้ง 2 แปลงให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียวโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินทั้ง 2 แปลง ให้แก่โจทก์ตามสิทธิในการรับมรดกของนายกล่ำ แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งแยกให้ จึงขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินทั้ง 2 แปลงให้โจทก์ครึ่งหนึ่งหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่สินเดิมและทรัพย์มรดกของนายกล่ำ แต่เป็นทรัพย์ของนางสิน และก่อนถึงแก่ความตายนางสินได้ยกที่ดินทั้ง 2 แปลงให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์ขออาศัยจำเลยอยู่ในที่ดินที่ใช้เพื่ออยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว แต่เมื่อจำเลยบอกกล่าวให้โจทก์รื้อเรือนไปจากที่ดินที่ใช้เพื่ออาศัย โจทก์ไม่ยอมออกอย่างไรก็ดี โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่รู้การตายของนายกล่ำเจ้ามรดก คดีของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงให้แก่โจทก์แปลงละกึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ดำเนินการตามที่กล่าวมานี้ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์จำเลยต่างไม่ฎีกาคัดค้านในข้อที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นายกล่ำกับนางสินสร้อยนาค เป็นสามีภริยากัน มีบุตรด้วยกัน 10 คน ซึ่งรวมทั้งโจทก์จำเลย โดยโจทก์เป็นพี่จำเลย เดิมที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงเป็นสินเดิมของนายกล่ำและเป็นที่ดินตาม ส.ค.1 ซึ่งนายกล่ำเป็นผู้แจ้งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2498 โดยระบุว่าได้มาโดยการรับมรดกจากบิดามารดามาประมาณ 35 ปีแล้วปรากฏตาม ส.ค.1 จำนวน 2 ฉบับ เอกสารหมาย จ.1, จ.2 นายกล่ำได้ครอบครองที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงจนถึงพ.ศ. 2513 จึงถึงแก่ความตาย ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2525 นางสินได้ขอออกโฉนดที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง โดยลงชื่อตนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว และเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2525 นางสินได้ยกที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงให้แก่จำเลยโดยเสน่หา ปรากฏตามโฉนดที่ดินและหนังสือสัญญาให้ที่ดินรวม 2 โฉนดเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 นางสินถึงแก่ความตายเมื่อ พ.ศ. 2527 หลังจากนางสินตายโจทก์กับจำเลยยังคงครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตลอดมา… เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า หลังจากนายกล่ำเจ้ามรดกตาย คงมีแต่โจทก์และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแปลงที่ใช้เพื่ออยู่อาศัยโดยต่างก็มีบ้านที่อยู่อาศัยในที่ดินแปลงนั้น ส่วนนางสินมารดารื้อบ้านบางส่วนออกไปปลูกสร้างในที่ดินแปลงใหม่ บุตรคนอื่น ๆของนายกล่ำต่างก็ไปอยู่ที่อื่นไม่ได้อยู่อาศัยด้วยในที่ดินแปลงนั้นและปรากฏตามคำเบิกความของนางพวน สร้อยนาค พยานโจทก์ว่า เดิมจำเลยทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ใช้เพื่อตกกล้า ต่อมาเมื่อพ.ศ. 2528 โจทก์เข้าไปทำประโยชน์ร่วมกับจำเลยในที่ดินแปลงนั้นจำเลยมิได้นำสืบหักล้างในข้อนี้ ทั้งนางพูนศรี ขาวงาม พยานจำเลยยังเบิกความเจือสมพยานโจทก์ว่าปัจจุบันโจทก์ยังอยู่ในที่ดินซึ่งนางสินมารดายกให้แก่จำเลย และจำเลยเองก็เบิกความรับว่าโจทก์อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน ส่วนบุตรคนอื่น ๆของนายกล่ำไม่ปรากฏว่าได้ร่วมครอบครองด้วย สำหรับนางสินได้รื้อบ้านออกไปปลูกในที่ดินแปลงอื่นภายหลังนายกล่ำตายแล้ว ดังนี้ ถือว่าโจทก์จำเลยและนางสินได้ครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 แม้ต่อมานางสินขอออกโฉนดที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงโดยลงชื่อตนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวโดยโจทก์ไม่ยินยอม ถือว่าโจทก์ยังคงมีส่วนในที่ดินพิพาทนั้น 1 ใน3 ส่วน อยู่เช่นเดิม นางสิน ไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปยกให้จำเลยโดยเสน่หาได้ ฉะนั้น ปัจจุบันนี้โจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง 1 ใน 3 ส่วน ของที่ดินพิพาทแต่ละแปลง โจทก์จึงฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงที่ตนเป็นเจ้าของรวมจากจำเลยแปลงละ 1 ใน 3 ส่วนได้ เพราะเป็นกรณีที่เจ้าของรวมเรียกให้แบ่งทรัพย์จากเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งแยกที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ให้แก่โจทก์แปลงละกึ่งหนึ่ง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงให้แก่โจทก์แปลงละ 1 ใน 3 ส่วน หากจำเลยไม่ดำเนินการตามที่กล่าวมานี้ ก็ให้ถือเอาตามคำพิพากษาศาลฎีกาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย.