คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยเช่าที่ดินบริเวณสวนลุมพินีกับเทศบาลนครกรุงเทพโจทก์คราวละ 1 ปีนั้น เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้ หากเช่าเกินกว่า 1 ปี ต้องได้รับอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยก่อน เช่นนี้ เป็นการแสดงอยู่ในตัวแล้วว่ากระทรวงมหาดไทยให้โจทก์มีอำนาจให้เช่าที่พิพาทได้คราวละ 1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิให้จำเลยเช่าที่พิพาทได้ เมื่อโจทก์มีสิทธิให้เช่าแล้ว โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้เช่าตามสัญญาได้
เดิมเทศบาลนครกรุงเทพเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย แต่ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 25 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2514 ให้รวมเทศบาลนครกรุงเทพและเทศบาลนครธนบุรี จัดตั้งเป็นเทศบาลนครหลวงประกาศของคณะปฏิวัติมีสภาพเป็นกฎหมายและตามประกาศฉบับนี้ ข้อ 6 ให้เทศบาลนครหลวงมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับเทศบาลตามกฎหมายว่าด้วยเทศบาล และข้อ 13 ให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยเทศบาล กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งเกี่ยวกับเทศบาลมาใช้บังคับแก่เทศบาลนครหลวงโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดแย้งกับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ และคำว่าเทศบาลในกฎหมายดังกล่าวให้หมายรวมถึงเทศบาลนครหลวงด้วย เช่นนี้ตามข้อบัญญัติแห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวย่อมแปลได้ว่าเทศบาลนครหลวงเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 เมื่อรวมเทศบาลนครกรุงเทพ เทศบาลนครธนบุรี เป็นเทศบาลนครหลวงแล้วสิทธิและหน้าที่ของเทศบาลนครกรุงเทพที่ได้ทำไว้แต่เดิมจึงเปลี่ยนมาเป็นของเทศบาลนครหลวงเทศบาลนครหลวงจึงมีสิทธิดำเนินคดีต่อจากเทศบาลนครกรุงเทพได้ อนึ่ง ปรากฏต่อมาว่าขณะที่คดีนี้ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เทศบาลนครหลวงได้ถูกยุบยกเลิกไปโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 โดยได้มีการจัดระเบียบบริหารใหม่ให้เป็นกรุงเทพมหานคร และให้ถือเป็นจังหวัดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 ข้อ 48 มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้ฯลฯ ของเทศบาลนครหลวงไปเป็นของกรุงเทพมหานครซึ่งมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารตามนโยบายของรัฐบาล ฯลฯ จึงถือได้ว่ากรุงเทพมหานครเป็นนิติบุคคล กรุงเทพมหานครโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงมีสิทธิดำเนินคดีต่อจากเทศบาลนครหลวงได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินในบริเวณสวนลุมพินีจากโจทก์เพื่อทำการค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2511 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2511 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างพร้อมวัสดุสัมภาระออกไปจากที่ดินภายใน 90 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 30,822 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย ฯลฯ

จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าที่พิพาทมาก่อนเวลาที่โจทก์ฟ้อง มิได้เช่ากันคราวละ 1 ปี หากแต่เช่ากันคราวละ 10 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2511จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกับโจทก์เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติมา โดยจำเลยจะต้องก่อสร้างรั้วเหล็ก ทำสวนญี่ปุ่น ศาลาที่พักและม้าหมุนสำหรับเด็กในบริเวณที่เช่า เสียค่าใช้จ่าย 150,000 บาท โจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าที่พิพาทเป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2511 สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มีอำนาจหน้าที่ในที่พิพาทดังโจทก์กล่าวอ้าง ที่พิพาทอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้ออาคารและสิ่งปลูกสร้าง กับขนย้ายวัสดุสัมภาระและบริวารออกไปจากที่เช่าตามฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ประเด็นข้อ 1 ที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ นั้น ข้อนี้ โจทก์จำเลยนำสืบรับว่าการที่จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับโจทก์คราวละ 1 ปีนั้น เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้ หากเช่าเกินกว่า 1 ปีต้องได้รับอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยก่อนเช่นนี้ เป็นการแสดงอยู่ในตัวแล้วว่ากระทรวงมหาดไทยให้โจทก์มีอำนาจให้เช่าที่พิพาทได้คราวละ 1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิให้จำเลยเช่าที่พิพาทได้ เมื่อโจทก์มีสิทธิให้เช่าแล้ว โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้เช่าตามสัญญาได้

ประเด็นข้อ 2 ที่ว่า เทศบาลนครหลวงเป็นนิติบุคคลหรือไม่ และมีสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ (เทศบาลนครกรุงเทพ) หรือไม่ เรื่องนี้ เดิมเทศบาลนครกรุงเทพเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย แต่ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 25 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2514 ให้รวมเทศบาลนครกรุงเทพและเทศบาลนครธนบุรีจัดตั้งเป็นเทศบาลนครหลวงเห็นว่า ประกาศของคณะปฏิวัติมีสภาพเป็นกฎหมาย และตามประกาศฉบับนี้ ข้อ 6 ให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยเทศบาล กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งเกี่ยวกับเทศบาลมาใช้บังคับแก่เทศบาลนครหลวงโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดแย้งกับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ และคำว่าเทศบาล ในกฎหมายดังกล่าว ให้หมายรวมถึงเทศบาลนครหลวงด้วย เช่นนี้ ตามข้อบัญญัติแห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ย่อมแปลได้ว่าเทศบาลนครหลวงเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 เมื่อรวมเทศบาลนครกรุงเทพ เทศบาลนครธนบุรี เป็นเทศบาลนครหลวงแล้ว สิทธิและหน้าที่ของเทศบาลนครกรุงเทพที่ได้ทำไว้แต่เดิมจึงเปลี่ยนมาเป็นของเทศบาลนครหลวง เทศบาลนครหลวงจึงมีสิทธิดำเนินคดีต่อจากเทศบาลนครกรุงเทพได้ หาใช่เป็นสิทธิส่วนตัวไม่ อนึ่ง ปรากฏต่อมาว่าขณะที่คดีนี้ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เทศบาลนครหลวงได้ถูกยุบยกเลิกไปโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 โดยได้มีการจัดระเบียบบริหารใหม่ให้เป็นกรุงเทพมหานคร และให้ถือเป็นจังหวัดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 ข้อ 48 มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยให้โอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้ ฯลฯ ของเทศบาลนครหลวงไปเป็นของกรุงเทพมหานครซึ่งมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารตามนโยบายของรัฐบาล ฯลฯ จึงถือได้ว่ากรุงเทพมหานครเป็นนิติบุคคล กรุงเทพมหานครโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จึงมีสิทธิดำเนินคดีต่อจากเทศบาลนครหลวงได้

ประเด็นข้อ 3 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยชอบหรือไม่คดีนี้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ในนัดที่ 5 จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าตัวจำเลยป่วยอีก โจทก์ได้แถลงว่า ที่จำเลยอ้างว่าจะไปติดต่อกับเทศบาลนั้น จำเลยไม่เคยไปติดต่อเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยขอเลื่อนคดีมาแล้วหลายครั้ง อันเป็นการดำเนินคดีในลักษณะเป็นการประวิงคดี จำเลยแถลงว่านัดหน้าจำเลยนำพยานมาศาลได้เท่าไรก็ขอสืบเท่านั้น หากไม่มีพยานมาเลยให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 8 สิงหาคม 2515 แต่ก่อนวันนัดสืบพยานครั้งต่อไป จำเลยได้ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอีก ศาลชั้นต้นจึงไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมได้ เช่นนี้ เห็นว่า ในการพิจารณาคดีนี้ จำเลยได้ขอเลื่อนการพิจารณาคดีหลายครั้ง โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ กัน จนศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดี จำเลยจึงได้แถลงต่อศาลจะขอเลื่อนคดีเป็นครั้งสุดท้ายโดยรับว่ามีพยานมาศาลเท่าใดก็จะสืบพยานเท่าที่นำมาได้ หลังจากที่จำเลยแถลงรับต่อศาลแล้ว จำเลยก็เพทุบายมายื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม เป็นทำนองจะขอหมายเรียกพยานที่ระบุเพิ่มเติมและขอส่งประเด็นไปสืบพยานนอกเขตศาลอีก การกระทำของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการแสดงแน่ชัดว่าจำเลยมีเจตนาที่จะให้มีการเลื่อนไปสืบพยานที่ขอระบุเพิ่มเติมจากที่ได้แถลงไว้แล้วว่าจะขอสืบพยานเท่าที่นำมาศาล การดำเนินคดีของจำเลยจึงมีเจตนาที่จะประวิงคดีให้เนิ่นช้าออกไป ที่ศาลชั้นต้นไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยจึงเป็นการชอบแล้ว

ประเด็นข้อ 4 จำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิจริงหรือไม่ ฟังได้ว่าสัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันแล้ว

ประเด็นข้อ 5 เรื่องค่าเสียหายนั้น เห็นว่า หลังจากครบกำหนดตามสัญญาเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยคงอยู่ในที่เช่าตลอดมา จำเลยจึงอยู่โดยละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย แม้โจทก์จะอ้างว่าจะทำเป็นสวนสาธารณะโจทก์ก็มีสิทธิที่จะเรียกค่าเสียหายเท่ากับอัตราที่จำเลยเคยเช่ามาแล้วได้

พิพากษายืน

Share