แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติและอ้างว่ามีหนังสือของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรื่องราษฎรเข้าทำกินในที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการกระทำผิด เมื่อจำเลยทราบข้อความตามหนังสือของนายกรัฐมนตรีหลังที่เกิดเหตุคดีนี้แล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจตามหนังสือฉบับนั้นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การที่หนังสือดังกล่าวไม่ให้เอาผิดราษฎรที่เข้าทำไร่นาในป่าสงวนอยู่ก่อนแล้ว และถ้าถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังไว้ก็ให้ปล่อยตัวไปนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติจำเลยฎีกาว่า ถ้าศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยก็ขอให้รอการลงโทษนั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจร่วมกันเข้ายึดถือครอบครองที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าห้วยขมิ้น พุน้ำร้อน หนองหญ้าไพร” หมู่ที่ 4 ตำบลด่านช้างกิ่งอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี อันเป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ออกกฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยบังอาจก่นสร้างแผ้วถางและเผาป่าเพื่อปลูกสร้างอาคารบ้านเรือนและทำไร่ เป็นเหตุให้ต้นไม้และของป่าถูกทำลาย ทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2518 มาตรา 22 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฯลฯ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกอบด้วยมาตรา 31 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5)พ.ศ 2518 มาตรา 22 ประกอบด้วยมาตรา 72 ตรี แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกอบด้วยมาตรา 31 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน ฯลฯ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรีพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 16 พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 22 แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 คนละ3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า หนังสือของนายกรัฐมนตรีที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเรื่องราษฎรเข้าทำกินในที่ป่าสงวนแห่งชาติย่อมทำให้จำเลยหลุดพ้นจากการกระทำผิด
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้ทราบข้อความตามหนังสือดังกล่าวหลังที่เกิดเหตุคดีนี้แล้ว จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจตามหนังสือฉบับนั้นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด การที่หนังสือดังกล่าวไม่ให้เอาผิดราษฎรที่เข้าทำไร่นาป่าสงวนอยู่ก่อนแล้วและถูกเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังไว้ก็ให้ปล่อยตัวไปนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ฯลฯ
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ถ้าศาลฎีกาจะลงโทษจำเลย ก็ขอให้รอการลงโทษนั้นเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน