คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้ในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงที่ใช้สิทธิลาเพื่อคลอดบุตรจะยังมีสถานะเป็นลูกจ้าง แต่ก็ไม่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานใดห้ามไม่ให้นายจ้างลูกจ้างนั้นในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร คงมีเพียง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 43 ที่บัญญัติห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุโจทก์มีครรภ์ การบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยที่ 1 ที่กระทำในระหว่างที่โจทก์ลาคลอดบุตรจึงเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือเลิกจ้างหาใช่มีผลเมื่อวันลาคลอดบุตรของโจทก์สิ้นสุดลงไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสามเข้าทำงานเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2537 ในตำแหน่งเลขานุการิณี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 28,525 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุนวันสิ้นเดือน ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีจดหมายเลิกจ้างโจทก์ ลงวันที่ 19 เมษายน 2545 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2545 อ้างว่า โจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ และมีขีดความสามารถจำกัด การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์และฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าชดเชย ค่าจ้างระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 ค่าจ้างระหว่างการลาคลอดบุตร พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละ 15 ทุกระยะเวลา 7 วัน ของเงินดังกล่าว นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ โบนัส ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันดำเนินการให้ผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเบ็นไลน์ไทยแลนด์กรุ๊ปจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบพร้อมดอกเบี้ยที่เกิดจากเงินดังกล่าว และออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการทำงานของโจทก์บกพร่อง การที่โจทก์ฝากให้บุคคลอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องนำแบบแสดงรายการภาษีประจำปีไปยื่น ทำให้ความลับเกี่ยวกับเงินเดือนพนักงานของจำเลยที่ 1 ถูกเปิดเผย พนักงานแตกความสามัคคีในการทำงาน และการที่โจทก์เอาเอกสารเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนเงินเดือนพนักงาน ซึ่งถือว่าเป็นความลับสุดยอดของจำเลยที่ 1 ไป เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับและจูงใจทำให้จำเลยทั้งสามได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสามจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระค่าชดเชยจำนวน 228,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2545 กับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 11,409.99 บาท เงินโบนัสจำนวน 16,520.72 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมจำนวน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระค่าดอกเบี้ยของเงินค่าจ้างเดือนกุมภาพันธ์ 2545 จำนวน 328.90 บาทแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 30,426.67 บาท เงินโบนัสจำนวน 41,958.07 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 1,735.70 บาท หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2537 โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจ้าง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 28,525 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน โจทก์มีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามส่วนปีละ 2.5 เท่าของเงินเดือน มีวันหยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ 10 วันทำงาน ปี 2545 โจทก์ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไปแล้ว 4 วัน วันที่ 28 มีนาคม 2545 โจทก์คลอดบุตร และโจทก์ใช้สิทธิลาคลอดบุตรมีกำหนด 90 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม ถึงวันที่ 26 มิถุนายน 2545 โจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ระหว่างโจทก์ลาคลอดบุตรจำเลยที่ 1 มีหนังสือเลิกจ้างลงวันที่ 19 เมษายน 2545 ให้มีผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2545 โจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ 20 เมษายน 2545 สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงสิ้นสุดในวันที่ 19 พฤษภาคม 2545 ตามที่ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้าง แต่การแสดงเจตนาบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าของจำเลยที่ 1 เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนังสือบอกกล่าวไปถึงโจทก์คือวันที่ 20 เมษายน 2545 จึงมีผลเป็นการเลิกจ้างตามกฎหมายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปการที่จำเลยที่ 1 ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ 19 พฤษภาคม 2545 ไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 เป็นเงิน 11,409.99 บาท เมื่อการเลิกจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงในวันที่ 19 พฤษภาคม 2545 โจทก์จึงมีเวลาทำงานในปี 2545 รวม 4 เดือน 19 วัน มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนเท่ากับ 3.856 วัน เมื่อโจทก์ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไปแล้ว 4 วัน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และมีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามส่วนเป็นเงิน 16,520.72 บาท โจทก์อุทธรณ์ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 32 วรรคสาม มาตรา 41 วรรคหนึ่ง มาตรา 43 และมาตรา 59 บัญญัติให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรได้ไม่เกิน 90 วัน โดยไม่ให้ถือว่าเป็นวันลาป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 45 วัน และห้ามนายจ้างมิให้เลิกจ้าง ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ ระหว่างที่โจทก์ลาคลอดบุตร โจทก์จึงยังมีสถานะเป็นลูกจ้างและจำเลยทั้งสามจะเลิกจ้างโจทก์ไม่ได้ ต้องรอให้วันลาคลอดบุตรของโจทก์สิ้นสุดลงถึงวันโจทก์จะต้องกลับเข้าทำงานในวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2545 เสียก่อนจึงจะเลิกจ้างโจทก์ได้ การบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลยที่ 1 จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2545 และมีผลเป็นการเลิกจ้างเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปในวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 จำเลยทั้งสามจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์เท่ากับค่าจ้างของวันที่ 27 ถึง 28 มิถุนายน 2545 และค่าจ้างของเดือนกรกฎาคม 2545 รวมเป็นเงิน 30,426.67 บาท และต้องถือว่าโจทก์มีเวลาทำงานในปี 2545 รวม 7 เดือน จึงมีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามส่วนจำนวน 41,958.07 บาท กับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน 1,735.70 บาท เห็นว่า แม้ในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงที่ใช้สิทธิลาเพื่อคลอดบุตรจะยังมีสถานะเป็นลูกจ้าง แต่ก็ไม่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานใดห้ามไม่ให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างนั้นในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร คงมีเพียงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์” ซึ่งแม้ศาลแรงงานกลางจะรับฟังว่า โจทก์ไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ขาดประสิทธิภาพในการทำงานหรือกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 แต่ศาลแรงงานกลางก็มิได้รับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุโจทก์มีครรภ์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 การบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลยที่ 1 จึงเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือเลิกจ้างและทำให้ความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างลูกจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดในวันที่ 19 พฤษภาคม 2545 ตามที่จำเลยที่ 1 ระบุไว้ในหนังสือเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การบอกกล่าวล่วงหน้าของจำเลยที่ 1 ไม่ถูกต้องจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 เป็นเงิน 11,409.99 บาท โจทก์มีเวลาทำงานในปี 2545 รวม 4 เดือน 19 วัน มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนเพียง 3.856 วัน โจทก์ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไปแล้ว 4 วัน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินโบนัสตามส่วนเพียง 16,520.72 บาท จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share