แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์และห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. ทำสัญญาจ้าแรงงานเพื่อว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคาร โดยทำสัญญาและก่อสร้างอาคารดังกล่าวที่จังหวัดเชียงใหม่ และจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ตามมูลหนี้ค่าก่อสร้างเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานถือว่ามูลหนี้ตามเช็คเกิดจากสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง มูลหนี้จึงเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารแห่งประเทศไทย จำกัด สาขาท่าอากาศยานในท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพมหานคร มอบให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าก่อสร้าง โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,862,343.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,693,970 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยเป็นหนี้ค่าก่อสร้างโจทก์และไม่เคยว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคารใดๆ ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อคำประกันหนี้ค่าก่อสร้างระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ไว้ก่อนโดยตกลงว่า เมื่อโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ตกลงในเรื่องหนี้กันได้แล้วโจทก์จะส่งมอบเช็คพิพาทคืนแก่จำเลย จำเลยไม่เคยได้รับการทวงถามจากโจทก์ และจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้อง เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ได้ชำระหนี้บางส่วนและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,693,970 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 168,373.10 บาท)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาท่าอากาศยาน ในท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ลงวันที่สั่งจ่าย 15 กรกฎาคม 2536 จำนวนเงิน 2,693,970 บาท มอบให้โจทก์ เมื่อถึงกำหนดใช้เงินตามเช็ค โจทก์ได้นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายวิทยา สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการของโจทก์มาเบิกความยืนยันว่า โจทก์มอบอำนาจให้พันจ่าอากาศเอกชตรี จิตร์ระเบียบ เป็นผู้ดำเนินคดีแทนตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งมีกรรมการผู้มีอำนาจ 2 คน ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์แล้ว โดยจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยชอบ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าตราสำคัญของบริษัทโจทก์ที่ประทับในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ไม่เหมือนกับตราในสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.3 นั้นได้ความจากพันจ่าอากาศเอกชตรี จิตต์ระเบียบ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ว่าตราประทับตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นตราสำคัญของโจทก์อันเก่าที่ต่อมาชำรุดได้จัดทำตราประทับใหม่ตามเอกสารหมาย จ.2 อันเป็นการยืนยันว่าตราที่ใช้ประทับในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 เป็นตราสำคัญของโจทก์ที่แท้จริง เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ 2 คน ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญดังกล่าวแล้วย่อมผูกพันบริษัทโจทก์ได้ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเอกสารหมาย จ.1 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.3 มีนายธำรงค์ สุขสวัสดิ์ กรรมการโจทก์ผู้เดียวลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับจ้างถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์สัญญาไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยต้องรับผิดตามสัญญานั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยก็ไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ต้องรับผิดเพราะสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ ไม่มีผลผูกพันกันตามกฎหมาย จำเลยกลับให้การยอมรับว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ได้ทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ และจำเลยยังเบิกความรับว่าจำเลยได้รับมอบอำนาจจากห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ให้ทำสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.3 จึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ และมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์และห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ได้ทำสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.3 เพื่อว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารบุญมาศแมนชั่น โดยทำสัญญาและก่อสร้างอาคารดังกล่าวที่จังหวัดเชียงใหม่ และจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ตามมูลหนี้ค่าก่อสร้างเกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานเอกสารหมาย จ.3 ถือว่ามูลหนี้ตามเช็คเกิดจากสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง มูลหนี้จึงเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (1) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดตามเช็คพิพาทหรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การยอมรับว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า จำเลยต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 เมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดอ้างว่าสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อค้ำประกันหนี้ก่อสร้าง เมื่อโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ตกลงหนี้กันได้โจทก์จะคืนเช็คให้จำเลยเช่นนี้ จำเลยมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าวซึ่งจำเลยเบิกความลอยๆ เพียงปากเดียวว่า หลังจากโจทก์ส่งมอบงานแล้วโจทก์แจ้งหนี้ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์จะต้องชำระเป็นเงิน 2,600,000 บาท จำเลยได้ไปเจรจากับโจทก์ แต่โจทก์ให้จำเลยออกเช็คค้ำประกันไว้ก่อนจะเจรจาตกลงยอดหนี้ตามความเป็นจริง ภายหลังโดยตกลงว่าจะไม่นำเช็คไปขึ้นเงินกับธนาคารแต่จำเลยก็ยอมรับว่าโจทก์ได้ส่งมอบงานก่อสร้างอาคารเสร็จแล้วและยังรับด้วยว่าจำเลยลงลายมือชื่อรับรองในเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ที่มีข้อความชัดเจนว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์เป็นหนี้ค่าก่อสร้างกับโจทก์จำนวน 2,693,970 บาท จำเลยยินยอมชำระหนี้ดังกล่าวแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์เป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยตามเช็คฉบับพิพาทเอกสารหมาย จ.8 เจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ที่มีนายวิทยา กรรมการผู้จัดการของโจทก์ที่เบิกความว่า โจทก์ก่อสร้างอาคารให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์เสร็จเรียบร้อย โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์เป็นหนี้ค่าก่อสร้างจำนวน 2,693,970 บาท โจทก์ทวงถามให้ชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ซึ่งมียอดหนี้ตรงกันโดยไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์หรือจำเลยได้โต้แย้งว่าหนี้ค่าก่อสร้างไม่ถูกต้องแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยอ้างว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดทองม้วนโภคทรัพย์ได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตลอดมาตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย ล.5 ถึง ล.15 นั้น ก็ได้ความจากข้อนำสืบของจำเลยเองว่าเป็นการชำระดอกเบี้ยก่อนถึงกำหนดวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาทและตามฟ้องโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จึงไม่ใช่การคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยและเป็นคนละส่วนกับหนี้ตามเช็คพิพาทที่เป็นหนี้ค่าก่อสร้างที่จำเลยยอมรับตามเอกสารหมาย จ.6 จึงไม่อาจนำมาหักลบกันได้ดังที่จำเลยฎีกา พยานหลักฐานจำเลยที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าก่อสร้างแก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ผู้ทรงโดยชอบนำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ในอัตราที่สูงเกินควรถึง 40,000 บาท นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้ใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง และเป็นการกำหนดตาราง 6 อัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน