คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4444/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คู่ความตกลงท้ากันว่าหากโจทก์เบิกความว่าได้มอบอำนาจให้อ. ฟ้องคดีนี้จำเลยยอมแพ้แต่หากโจทก์เบิกความว่าไม่ได้มอบอำนาจให้อ. ฟ้องคดีนี้โจทก์ยอมแพ้โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานอื่นเมื่อโจทก์ได้เบิกความตอบศาลว่า”ข้าพเจ้าได้มอบอำนาจให้อ. ฟ้องคดีนี้จริง”ซึ่งตรงตามคำท้ากันแล้วจำเลยต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า จำเลยอุทธรณ์และฎีกาแต่เพียงขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาชั้นละ200บาทตามตาราง1(2)(ก)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายอัมพร โถมนากุลเป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5204 จำเลยได้ไปจดทะเบียนให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวเกินกว่าเจตนาที่โจทก์ยกให้ ขอให้ศาลเพิกถอนการให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5204 จำนวน 60 ส่วนใน 250 ส่วนโดยจดทะเบียนให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมเพียง 25 ส่วนใน 250 ส่วน เฉพาะตัวบ้านเลขที่ 221 และให้จำเลยไปดำเนินการเพิกถอนส่วนที่ไม่ถูกต้องภายใน 7 วัน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายอัมพรฟ้องคดีนี้แต่มอบอำนาจให้ไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโจทก์เจตนายกที่ดินให้แก่จำเลย 60 ส่วนและจำเลยได้ทำการจดทะเบียนถูกต้องตามความประสงค์ของโจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานคู่ความตกลงท้ากันว่า หากโจทก์เบิกความว่าได้มอบอำนาจให้นายอัมพร โถมนากุล ฟ้องคดี จำเลยยอมแพ้แต่ถ้าหากโจทก์เบิกความว่าไม่ได้มอบอำนาจให้นายอัมพรฟ้องคดี โจทก์ยอมแพ้ โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานอื่นปรากฎว่าโจทก์เบิกความตอบศาลชั้นต้นว่าได้มอบอำนาจให้นายอัมพรฟ้องคดีจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 5204 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ (หนองจอก)จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 60 ส่วน ใน 250 ส่วน โดยจดทะเบียนให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมเพียง 25 ส่วนใน 250 ส่วน เฉพาะตัวบ้านเลขที่ 221ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า เหตุที่จำเลยกล้าท้ากับนายอัมพรให้เอาโจทก์มาเบิกความเพียงคนเดียวเป็นข้อแพ้ชนะคดีก็เพราะหลังจากจำเลยถูกฟ้องคดีแล้วโจทก์บอกจำเลยว่าไม่ได้มอบอำนาจให้นายอัมพรฟ้อง อีกทั้งสำเนาหนังสือมอบอำนาจโจทก์ก็ระบุว่าทำที่กรุงเทพมหานครต่อหน้าทนายโจทก์ ซึ่งโจทก์ไม่เคยไปกรุงเทพมหานคร ทั้งลายพิมพ์นิ้วมือก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือไหน ข้างไหนเอกสารต้นฉบับก็ไม่ได้ส่งศาล และโจทก์ไม่ได้รับรอง เหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานที่จำเลยมั่นใจว่าจำเลยจะซักค้านโจทก์จนยอมรับว่าไม่ได้มอบอำนาจให้ฟ้องแน่นอน ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 117นั้น เห็นว่า จากรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่18 พฤศจิกายน 2537 ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ว่า “คู่ความตกลงท้ากันว่าหากนางชม ผึ้งแดง โจทก์เบิกความว่าได้มอบอำนาจให้นายอัมพร โถมนากุล ฟ้องคดีนี้จำเลยยอมแพ้ แต่หากนางชมเบิกความว่าไม่ได้มอบอำนาจให้นายอัมพรฟ้องคดีนี้ โจทก์ยอมแพ้ โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานอื่น” เมื่อโจทก์ได้เบิกความตอบศาลว่า”ข้าพเจ้าได้มอบอำนาจให้นายอัมพร โถมนากุลฟ้องคดีนี้จริง”ซึ่งตรงตามคำท้ากันแล้ว ส่วนข้อที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งว่าจำเลยมีสิทธิที่จะถามค้านโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 117 นั้น เป็นข้อที่นอกเหนือไปจากคำท้าไม่อาจดำเนินการให้ได้ ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามกรอบที่คู่ความตกลงท้ากันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วว่าจำเลยต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง จำเลยอุทธรณ์และฎีกาแต่เพียงขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ชั้นละ 200 บาท ตามตาราง 1(2)(ก)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่จำเลย”
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแต่ละชั้นในส่วนที่เกิน 200 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่กล่าวข้างต้นเป็นพับ

Share