คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2296/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปีและศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษไม่เกินกำหนดดังกล่าว ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำคำเบิกความของแพทย์ที่ว่าหลังเกิดเหตุ 15 วัน ได้ตรวจบาดแผลอีกครั้ง แผลเป็นปกติดีมาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) เป็นการไม่ชอบ เพราะตามรายงานการตรวจบาดแผลของแพทย์ ท้ายฟ้องระบุว่าบาดแผลดังกล่าวต้องใช้เวลารักษานาน 6สัปดาห์นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ฟังว่าพยานบุคคลในกรณีนี้มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานเอกสารจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,297, 93, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 297(8), 83, 91 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย จำคุก 6 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 6 เดือน และมาตรา 391 จำคุก15 วัน รวมจำคุก 6 เดือน 15 วัน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทั้งข้อหาทำร้ายร่างกายพลทหารจรัญและข้อหาทำร้ายร่างกายนายอ้าย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินสองปี และศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกำหนดดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำคำเบิกความของแพทย์ที่ว่าหลังเกิดเหตุ 15 วันได้ตรวจบาดแผลอีกครั้งแผลเป็นปกติดี มาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) เป็นการไม่ชอบ เพราะรายงานการตรวจบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องระบุว่าบาดแผลของพลทหารจรัญต้องใช้เวลารักษานาน 6 สัปดาห์นั้น เห็นได้ว่า ฎีกาของโจทก์ข้อนี้เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2ที่ฟังว่าพยานบุคคลในกรณีนี้มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานเอกสาร จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น
พิพากษายกฎีกาโจทก์.

Share