คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เรือเจ้าทรัพย์ถูกคนร้ายลักไป หากเรือนั้นจะหลุดลอยจากคนร้ายมาได้อย่างไร หาเป็นข้อสารสำคัญไม่ เรือก็ยังคงเป็นทรัพย์มีเจ้าของที่หายไปอยู่
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 ร่วมกันรับของโจรแต่ถ้าฟังได้ว่าจำเลยรับของโจรคนละทีศาลก็ลงโทษจำเลยแต่ละคนฐานรับของโจรได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยรับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แต่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยรับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้าย ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในสารสำคัญย่อมลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2510)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 8 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2507 ซึ่งเป็นเวลากลางคืนตามกฎหมาย ได้มีคนร้ายบังอาจลักเรือชะล่า 1 ลำ ราคา 500 บาท พร้อมด้วยโซ่ 1 เส้น กุญแจ 1 ดอก ราคา 30 บาท ของนายเสนา จารุเศรณี ไปโดยทุจริต ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2507 พวกเจ้าทรัพย์พบเรือชะล่าที่ถูกจำเลยลักไปอยู่ที่จำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357 คืนเรือของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาโซ่ กุญแจ 30 บาทแก่เจ้าทรัพย์

จำเลยที่ 1 ให้การว่าซื้อเรือของกลางจากจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 100 บาท เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2507 โดยไม่ทราบว่าเป็นเรือที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย

จำเลยที่ 2 ให้การว่า วันที่ 21 มิถุนายน 2507 เรือของกลางคว่ำลอยมาเหนือบ้านตามลำน้ำแม่ปิง จำเลยนำเอามาไว้ใต้ถุนบ้าน นำความแจ้งนายชมสารวัตรกำนันวันที่ 25 มิถุนายน 2507 จำเลยที่ 1 มาบอกว่าเป็นเรือของเขาจึงคืนให้จำเลยที่ 1 ไปโดยไม่ได้ขาย

ศาลชั้นต้นฟังว่า เรือเจ้าทรัพย์หลุดลอยน้ำมา แม้จำเลยที่ 1 จะซื้อหรือรับจากจำเลยที่ 2 ก็ไม่ผิดฐานรับของโจร เพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง เรือของกลางคืนเจ้าทรัพย์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยในข้อที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองร่วมกันรับของโจร แต่ถ้าฟังได้ว่าจำเลยรับของโจรคนละที ศาลก็ลงโทษจำเลยแต่ละคนฐานรับของโจรได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนโจทก์อ้างว่าข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองเป็นพิรุธ และต่างโยนความผิดให้กันและกัน แสดงว่าจำเลยทั้งสองเข้ามาพัวพันในเรือของกลางร่วมกัน การมีความผิดฐานรับของโจรอันได้มาจากการลักทรัพย์นั้นก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ฎีกาโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ข้อวินิจฉัยต่อไปคงมีตามฎีกาโจทก์ประการสุดท้ายว่าการที่จำเลยที่ 1 รับเรือไว้จากจำเลยที่ 2 นั้นจะลงโทษจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ฟังมาแต่การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มิได้บ่งให้ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 ได้รับไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานใด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นควรวินิจฉัยเสียเองว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น จำเลยที่ 1รับเรือของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานยักยอกปัญหามีว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ แต่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 รับเอาเรือของกลางไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ ศาลจะลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานรับของโจรได้หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงบางข้อดังกล่าวในฟ้อง และตามที่ปรากฏในทางพิจารณาสอดคล้องต้องกัน แต่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษดังบัญญัติไว้ในมาตรา 192 วรรค 3 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีต้องด้วยกฎหมายมาตราเดียวกันนี้ในวรรค 2 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสารสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้” ซึ่งจะพิจารณาต่อไปว่าเข้าข้อยกเว้นนี้หรือไม่จริงอยู่ โจทก์ต้องบรรยายฟ้องให้ปรากฏตามสมควรว่า ทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 รับไว้เป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดลักษณะใด เพื่อแสดงมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 แต่ถ้าทางพิจารณาปรากฏว่าการกระทำความผิดไม่ตรงกันที่โจทก์บรรยายมา หากแต่ยังคงเป็นความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดในความผิด 9 ลักษณะ ตามมาตรา 357 นั้นแล้ว จะถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในสารสำคัญหาได้ไม่เพราะมาตรา 357 ได้บัญญัติเป็นการแยกจำพวกความผิดไว้ต่างหากจากความผิดทั่วไปโดยใช้ถ้อยคำว่า “ฯลฯ ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ ฯลฯ” เพื่อให้เห็นว่าทรัพย์ที่ได้รับไว้นั้นผู้รับจะมีความผิดฐานรับของโจร ต่อเมื่อเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดในจำพวกความผิดที่ระบุไว้เท่านั้น ถ้าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดอย่างอื่นนอกจากนี้ หามีความผิดฐานรับของโจรไม่ คดีนี้ จำเลยที่ 1 ก็มิได้หลงข้อต่อสู้ เพราะจำเลยที่ 1 ให้การว่าจำเลยซื้อเรือของกลางจากจำเลยที่ 2 โดยไม่ทราบว่าเป็นเรือที่ได้มาโดยผิดกฎหมายนอกจากนี้ตามที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันรับของโจร แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 รับจากจำเลยที่ 2 ไม่ใช่จากบุคคลอื่น ก็เป็นฟ้องที่ลงโทษจำเลยที่ 1 ได้เช่นเดียวกับที่ได้ความว่าจำเลยแต่เพียงคนเดียวกระทำความผิดศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานรับของโจรตามมาตรา 357 ได้ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share