คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยและผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกันด้วยเรื่องพูดผิดหูเพียงเล็กน้อย โดยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนผู้เสียหายใช้ไม้คมแฝกตีศีรษะจำเลย 1 ที จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมยาวทั้งด้ามทั้งตัวประมาณ 1 คืบแทงไป 1 ที ผู้เสียหายตีซ้ำอีก 1 ที จำเลยก็แทงไปอีก 1 ที ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยได้แทงผู้เสียหายในขณะถูกตีศีรษะโดยกระทันหันในทันทีทันใดจำเลยย่อมจะมึนงงอยู่เพราะถูกตีศีรษะ และขณะนั้นก็มีแสงขมุกขมัวไม่เห็นกันถนัดไม่มีโอกาสที่จำเลยจะตั้งใจเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงไปถูกตรงไหน ของร่างกายได้ ทั้งเมื่อผู้เสียหายร้องขึ้นว่าถูกจำเลยแทงจำเลยก็ทิ้ง มีดหนีโดยไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมอีก เช่นนี้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลย มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายชาญซึ่งถูกฟ้องศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ได้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันโดยนายชาญใช้ไม้คมแฝกตีจำเลย ส่วนจำเลยใช้มีดพกแทงนายชาญเป็นแผลทะลุเข้าช่องปอดและทะลุเข้าตับอ่อนถึงทุพพลภาพประกอบด้วยทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาฆ่านายชาญให้ตาย หากแต่นายชาญได้รับการพยาบาลทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 288, 80

จำเลยให้การรับว่า ได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการป้องกันตัว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 288, 80

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 297

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลงโทษตามมาตรา 297

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ได้ความว่าจำเลยและผู้เสียหายต่างสมัครใจท้าทายเข้าวิวาทกันด้วยเรื่องพูดผิดหูกันเพียงเล็กน้อย คนทั้งสองเป็นเพื่อนอยู่ห้องแถวติดกัน ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเมื่อท้าทายกันแล้วทั้งสองฝ่ายต่างถืออาวุธออกจากห้องของตนมาที่ระเบียงหน้าห้องซึ่งมีแสงขมุกขมัว จำเลยถือมีดพกปลายแหลมยาวทั้งด้ามทั้งตัวประมาณ 1 คืบ กำลังยืนก้มตัวพูดกับภริยาจำเลยอยู่ ผู้เสียหายถือไม้คมแฝกตรงเข้าตีศีรษะจำเลยในขณะที่จำเลยก้มตัวอยู่นั้น 1 ที จำเลยก็ใช้มีดที่ถืออยู่แทงไป 1 ที ผู้เสียหายตีจำเลยซ้ำอีก 1 ที จำเลยก็แทงไปอีก 1 ที พอผู้เสียหายร้องขึ้นว่า ถูกจำเลยแทงเอาแล้ว จำเลยก็ทิ้งมีดผละหนีไป ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยได้แทงผู้เสียหายในขณะถูกตีที่ศีรษะโดยกระทันหันในทันทีทันใด จำเลยย่อมจะมึนงงอยู่เพราะถูกตีที่ศีรษะและขณะนั้นก็มีแสงไฟขมุกขมัวไม่เห็นกันถนัด ไม่มีโอกาสที่จำเลยจะตั้งใจเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงไปถูกที่ตรงบริเวณส่วนไหนของร่างกายผู้เสียหายได้ ทั้งเมื่อผู้เสียหายร้องขึ้น จำเลยรู้ตัวว่าได้แทงไปถูกผู้เสียหายเข้าแล้วจำเลยก็ทิ้งมีดหนีโดยไม่ได้ถือโอกาสเข้าทำร้ายซ้ำเติมอย่างไรอีกดังนี้ แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ควรมีความผิดเพียงในฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share