แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจทุ่งวังอำเภอเมืองสงขลา จำเลยที่ 2 เป็นผู้คุมเรือนจำประจำเรือนจำเขตสงขลาได้ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจเพื่อให้ผู้อื่นมอบเงินให้อันเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148,157, 337 และ 83 นั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดจริง ก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น เพราะแม้จำเลยที่ 2 เป็นพลตำรวจแต่โจทก์ก็มิได้ระบุในฟ้องว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ 2 จึงมิใช่ตำรวจผู้มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดโดยทั่ว ๆ ไป
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพลตำรวจอรุณซึ่งยังหลบหนีไม่ได้ตัวมาฟ้องต่างเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 1เป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจทุ่งวังอำเภอเมืองสงขลา จำเลยที่ 2เป็นผู้คุมเรือนจำชั้นสองประจำเรือนจำเขตสงขลาได้ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจเพื่อให้นายชอต๋วย แซ่ลิ่ม มอบเงินให้แก่จำเลยกับพวก โดยจำเลยกับพวกใช้วาจาขู่เข็ญข่มขืนใจว่าจะจับกุมนายชอต๋วยฐานเล่นการพนันสลากกินรวบไม่รับอนุญาต จนนายชอต๋วยจำต้องยอมส่งมอบเงิน 500 บาทให้แก่จำเลยกับพวกไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 337 และ 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองได้ไปตรวจค้นบ้านผู้เสียหายแล้วเรียกเอาเงินจริง พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 เป็นตำรวจประจำการจึงมีความผิดฐานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ และผิดฐานกรรโชก ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นผู้คุมเรือนจำ ไม่มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดโดยทั่วไป จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ประกอบด้วยมาตรา 86 มาตรา 337, 83 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี จำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ทำผิดดุจดังความเห็นของศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบเช่นเดียวกับโทษของจำเลยที่ 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 337, 83 ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 148 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 5 ปี
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำความผิด ชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 83 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะจำเลยที่ 2 มีตำแหน่งหน้าที่ตามฟ้องโจทก์ว่าเป็นผู้คุมชั้นสองประจำเรือนจำเขตสงขลา โจทก์มิได้ระบุในฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยจึงเป็นตำแหน่งหน้าที่ทางกรมราชทัณฑ์มิใช่ตำรวจผู้มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดโดยทั่ว ๆ ไป การที่จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 จึงมิใช่การใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ หากเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจกระทำความผิดเท่านั้นจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 86พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 86 มาตรา 337, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 148, 86อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2ไว้มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์