แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทส. ตามสัญญาตั้งตัวแทน ต่อมาบริษัท ส.บอกเลิกสัญญาและฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดร. ให้ชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเป็นตัวแทน ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. ต่อสู้คดีหลายข้อข้อหนึ่งต่อสู้ว่า บริษัท ส. ยังไม่ได้คิดบัญชีค่านายหน้าและชำระค่านายหน้าให้ในคดีดังกล่าว บริษัท ส. และห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ตกลงทำสัญญาประนีประยอมยอมความกันโดยให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดร. คิดบัญชีแล้วหักค่านายหน้าและค่าป่วยการอื่น ๆ จากจำนวนหนี้ที่ฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. จึงมาฟ้องเรียกค่านายหน้าตามสัญญาตั้งตัวแทนฉบับเดิม โดยอ้างว่าเพิ่งรู้ว่ายังมีค่านายหน้าอีกจำนวนหนึ่งซึ่งบริษัท ส.ต้องชำระให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดร. ตามสัญญาดังกล่าว ดังนี้ แสดงว่าสิทธิเรียกร้องค่านายหน้ากันได้หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด เป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับประเด็นซึ่งไว้วินิจฉัยถึงที่สุดไปแล้วในคดีก่อน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนขายรถยนต์ของจำเลยในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในสัญญาข้อ 8 มีว่าในกรณีที่จำเลยเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ของจำเลยเข้าไปในเขตที่โจทก์เป็นผู้แทนจำหน่าย (คือในเขตจังหวัดนครสวรรค์) จำเลยยอมให้ค่านายหน้าแก่โจทก์ตามสัญญาข้อ 5 แต่โจทก์จะต้องปฏิบัติการลงนามเป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อของลูกค้าต่อบริษัทจำเลยและทำหน้าที่ติดตามทวงถามเก็บเงินค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทุกราย และจำเลยได้ตกลงตามสัญญาข้อ 9 ว่า ในกรณีที่จำเลยจำหน่ายรถยนต์ ตามที่ระบุในสัญญาตัวแทนให้เอกชน ในเขตที่โจทก์เป็นผู้แทนจำหน่ายโดยโจทก์ไม่ปฏิบัติการอย่างใด ๆ ตามข้อ 8 ทั้งสิ้น โจทก์จะได้รับค่านายหน้าเพียงร้อยละ 50 ของค่านายหน้าที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาต่อท้าย โจทก์ได้เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยตามสัญญาจนถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2514 จำเลยจึงได้บอกเลิการเป็นตัวแทนของโจทก์นับแต่วันทำสัญญาจนถึงวันบอกเลิก จำเลยได้ขายรถยนต์ชนิดต่าง ๆ ให้เอกชนในเขตจังหวัดนครสวรรค์ อันเป็นเขตที่จำเลยได้แต่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้แทนจำหน่าย โดยขายตรงจากบริษัทจำเลยโดยโจทก์ไม่ต้อง เป็นผู้ค้ำประกันและไม่ต้องติดตามเก็บเงินค่าเช่าซื้อ จำเลยจะต้องจ่ายค่านายหน้าให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 372,000 บาท โจทก์เพิ่งทราบเมื่อต้นปี พ.ศ. 2516 เพราะ จำเลยปิดบังไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ ขอให้จำเลยชำระค่านายหน้า 372,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปในเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 7358/2518 ของศาลแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และฟังว่าจำเลยจำหน่ายรถยนต์ของจำเลยเข้าไปในเขตที่โจทก์เป็นตัวแทน คิดค่านายหน้าที่โจทก์จะได้รับรวม 90,000 บาท พิพากษาให้จำเลยชำระค่านายหน้าให้โจทก์เป็นเงิน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 7358/2515ของศาลแพ่งหรือไม่นั้น ปรากฏว่าในคดีนั้นบริษัทสหไทยไฟแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ได้ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดรถยนต์นครสวรรค์โจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยบรรยายฟ้องมีใจความว่า ห้างโจทก์กับบริษัทจำเลยตกลงกันให้ห้างโจทก์เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทจำเลยในเขตนครสวรรค์ได้ทำสัญญากำหนดสิทธิและหน้าที่กันไว้ตามสัญญาฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2510 เมื่อเลิกสัญญากันแล้วห้างโจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่ 1,650,385บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้ห้างโจทก์กับพวกชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัทจำเลย ห้างโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดีหลายข้อ ข้อหนึ่งในจำนวนนั้นมีว่า โดยข้อ 5 ถึงข้อ 9 แห่งสัญญาระหว่างโจทก์กับริษัทจำเลยบริษัทจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้ห้างโจทก์ แต่ยังมิได้คิดบัญชีกันและบริษัทจำเลยยังมิได้ชำระค่านายหน้าให้ห้างโจทก์คำให้การของห้างโจทก์ดังกล่าวเป็นคำให้การที่มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ห้างโจทก์กับบริษัทจำเลยได้ทำสัญญาให้ค่านายหน้าแก่ห้างโจทก์หรือไม่ หากทำกันไว้บริษัทยังค้างค่านายหน้าที่จะต้องจ่ายแก่ห้างโจทก์หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด ในชั้นพิจารณาห้างโจทก์และบริษัทจำเลยตกลงคิดบัญชีกัน ผลปรากฎว่าห้างโจทก์มีหนี้ติดค้างบริษัทจำเลยอยู่ 620,000 บาท และบริษัทจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวนนั้นเป็นค่านายหน้า และค่าป่วยการอื่น ๆ เป็นเงิน 140,000 บาทและได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามผลของการคิดบัญชีหนี้สินระหว่างกันดังกล่าวมา ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่านายหน้าซึ่งอ้างว่าเพิ่งทราบภายหลังที่มีคำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนแล้วนั้น เห็นได้ว่าประเด็นของคดีที่ว่า โดยสัญญาฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2510 บริษัทจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่านายหน้าให้แก่ห้างโจทก์หรือไม่เพียงใด ได้รับการวินิจฉัยและศาลได้พิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องว่าสัญญาฉบับดังกล่าวข้อ 8จำเลยยังมีหน้าที่ที่ต้องชำระค่านายหน้าแก่โจทก์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญากันไว้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใด อันเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับประเด็นซึ่งได้วินิจฉัยถึงที่สุดไปแล้ว ในคดีหมายเลขแดงที่ 7358/2515 ของศาลแพ่ง โจทก์จำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับโจทก์จำเลยในคดีดังกล่าว คดีของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม มิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง