คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับโจทก์และบังคับจำนอง โดยฟ้องกล่าวถึงจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์ และจำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2514 จำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท กำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญากำหนดส่งดอกเบี้ยภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยตามกำหนด ยอมให้คิดดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นเข้ากับเงินที่เบิกเกินบัญชีโดยเสียดอกเบี้ยตามวิธีและอัตราดังกล่าวตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งในเอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยยอมให้ดอกเบี้ยโจทก์ร้อยละสิบสี่ต่อปี และบรรยายต่อไปว่าเมื่อจำเลยนำสัญญาจำนองและเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินแก่โจทก์รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์คิดเพียงวันที่ 7 กันยายน 2520 เป็นเงิน 63,256.29 บาท ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีนับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2514 ตลอดมาจนถึงวันที่ 7 กันยายน 2520 โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละสิบสี่ต่อปี และคิดดอกเบี้ยที่ผิดนัดทบเข้ากับต้นเงินเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์รวม 63,256.29 บาท ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนที่ว่าจำเลยเบิกเงินจากโจทก์เมื่อไร จำนวนเท่าใด คิดดอกเบี้ยจากยอดต้นเงินเท่าใด คิดจากวันไหนถึงวันไหนนั้นเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบ เมื่อมีประเด็นโต้เถียงกัน แม้โจทก์ไม่บรรยายข้อความดังกล่าวในคำฟ้องและไม่แสดงบัญชีเดินสะพัด ฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสมุทรสงคราม เป็นสาขาของโจทก์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2514 จำเลยจำนองที่ดินโฉนดที่ 7539ตำบลแม่กลอง (บางแก้ว) อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงครามไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยไม่ว่าลักษณะใดที่มีต่อโจทก์เป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยเดือนละครั้งในอัตราร้อยละสิบสี่ต่อปี และยอมให้คำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของจำเลยถ้าขายทอดตลาดจำนองได้เงินน้อยกว่าเงินที่ค้างชำระกับอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วจำเลยยอมรับใช้เงินจำนวนที่ขาดแต่โจทก์จนครบ ตามสำเนาสัญญาจำนองและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนอง เอกสารท้ายฟ้องหมาย 3 และ 4ในวันที่ทำสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าว จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์จำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท กำหนดชำระภายใน 6 เดือน และส่งดอกเบี้ยภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนหากผิดนัดยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นโดยเสียดอกเบี้ยตามวิธีและอัตราดังกล่าวตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารท้ายฟ้องหมาย 5 แล้วจำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงิน โจทก์ทวงถามจำเลยขอผัดเรื่อยมาโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยแล้วรวมต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์คิดเพียงวันที่ 7 กันยายน 2520เป็นเงิน 63,256.29 บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 63,256.29 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปีโดยวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์

จำเลยให้การว่าไม่รับว่าผู้รับมอบอำนาจจะได้รับมอบอำนาจจากโจทก์โดยชอบและไม่รับรองหนังสือมอบอำนาจ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ฟ้องโจทก์ว่าจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์ทุกลักษณะเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท แต่ให้จำเลยชำระหนี้ 63,266บาท จำเลยไม่ทราบว่าได้กู้เงินโจทก์ไปเมื่อใด จำนวนเท่าใด โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นจากวัน เดือน ปีใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด จำเลยไม่มีทางทราบและให้การต่อสู้คดีได้ เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยเกิน 5 ปี ขอให้พิพากษายกฟ้อง

โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เป็นข้อแพ้ชนะ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษากลับให้จำเลยแพ้คดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับโจทก์และบังคับจำนอง โดยฟ้องข้อ 2 กล่าวถึงจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์ ฟ้องข้อ 3 มีข้อความว่าวันที่ 7 ธันวาคม 2514 จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์จำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท กำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญากำหนดส่งดอกเบี้ยภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยตามกำหนดยอมให้คิดดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินที่เบิกเกินบัญชีโดยเสียดอกเบี้ยตามวิธีและอัตราดังกล่าว ตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารท้ายฟ้องหมาย 5 ซึ่งในเอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยยอมให้ดอกเบี้ยโจทก์ร้อยละ 14 ต่อปี และฟ้องข้อ 4 มีใจความว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาจำนองและเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินแก่โจทก์รวมยอดหนี้ตั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์คิดเพียงวันที่ 7 กันยายน 2520 เป็นเงิน 63,256.29 บาท ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีนับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2514 ตลอดจนถึงวันที่ 7 กันยายน 2520 โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี และคิดดอกเบี้ยที่ผิดนัดทบเข้ากับต้นเงินเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์รวม 63,256.29 บาท ฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดง โดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยรับเงินในวันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและวันทำสัญญาจำนองกับไม่ได้กล่าวว่าจำเลยเบิกเงินจากโจทก์ในวันเดือนปีใด จำนวนเท่าใดคิดดอกเบี้ยจากยอดต้นเงินเท่าใด คิดดอกเบี้ยจากวันไหนถึงวันไหน เมื่อโจทก์ไม่แสดงบัญชีเดินสะพัดให้ชัดแจ้งจำเลยจึงไม่มีทางทราบและไม่มีโอกาสต่อสู้ตรวจสอบกับต้นขั้วเช็คของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำพยานมาสืบในเมื่อมีประเด็นโต้เถียงกันแม้โจทก์ไม่บรรยายข้อความดังกล่าวในคำฟ้องและไม่แสดงบัญชีเดินสะพัด ฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share