คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยจะผ่อนชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินที่ค้างอยู่ให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยแก้ตัวเลขปีกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจาก 2521 เป็น 2520 และลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย เพราะโจทก์กับพวกขู่ว่า หากจำเลยไม่แก้ โจทก์จะเอาเช็คที่จำเลยออกให้แก่ ผู้อื่น ซึ่งมาตกอยู่ในครอบครองของโจทก์ฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยฐานออกเช็คไม่มีเงิน ดังนี้ การขู่ของโจทก์เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 127 ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่ การที่จำเลยแก้กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆียะ และมีผลใช้บังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ว่า จำเลยจะผ่อนชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินที่ค้างอยู่ให้แก่โจทก์ แต่แล้วจำเลยกลับเพิกเฉย ขอศาลบังคับให้ชำระพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ความจริงตกลงกันว่าผู้ให้สัญญาจะผ่อนชำระหนี้นับแต่เดือนมิถุนายน 2521 แต่เมื่อต้นเดือนเมษายน 2520 โจทก์กับพวกขู่เข็ญบังคับจำเลยให้ขีดฆ่าตัวเลข 2521 ในสัญญาฉบับของโจทก์เป็นตัวเลข 2520 แล้วให้จำเลยลงชื่อกำกับไว้ หากจำเลยไม่ทำตาม จะเอาเช็คที่จำเลยออกให้แก่ผู้อื่นซึ่งตกอยู่ในมือของโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานออกเช็คไม่มีเงิน จำเลยกลัวจึงยอมแก้ให้การแก้โดยถูกบังคับขู่เข็ญ จึงไร้ผลไม่อาจนำมาบังคับจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงมีคำสั่งงดสืบพยาน และนัดฟังคำพิพากษา

จำเลยยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิตามปกตินิยมไม่ถึงขนาดที่จะทำให้การข่มขู่ของโจทก์ตกเป็นโมฆียะ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยต่อสู้ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความถูกแก้ตัวเลข 2521 เป็น 2520 ประเด็นจึงมีว่า สัญญาดังกล่าวถูกแก้ดังจำเลยอ้างจริงหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาสืบพยานในเรื่องนี้ให้ได้ความแน่ชัดเสียก่อนพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะฟังว่าทำสัญญากันว่าผู้ให้สัญญา (นายถั้นและจำเลย) จะผ่อนชำระหนี้ที่ค้างนับแต่เดือนมิถุนายน 2521 เป็นต้นไป ต่อมาจำเลยแก้ตัวเลข 2521 เป็น 2520 และจำเลยลงลายมือชื่อกำกับไว้เพราะโจทก์กับพวกบังคับขู่เข็ญให้แก้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ตาม แต่ปรากฏจากคำให้การของจำเลยว่าโจทก์กับพวกขู่เข็ญว่าหากจำเลยไม่ทำตามจะเอาเช็คที่จำเลยออกให้แก่ผู้อื่นซึ่งมาตกอยู่ในมือโจทก์ฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยฐานออกเช็คไม่มีเงินซึ่งในขณะนั้นจำเลยกำลังถูกผู้อื่นฟ้องคดีอาญาเรื่องเช็คอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเช็คที่จำเลยถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหลายฉบับ โจทก์และผู้อื่นซึ่งครอบครองเช็คที่จำเลยออกแล้วถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกเงินตามเช็ค หรือฟ้องเป็นคดีอาญาฐานออกเช็คโดยไม่มีเจตนาให้มีการใช้เงินตามเช็คการที่โจทก์กับพวกขู่จำเลยว่าจะฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยฐานออกเช็คไม่มีเงิน จึงเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 127 ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่ การที่จำเลยแก้กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงไม่เป็นโมฆียะและมีผลใช้บังคับได้ ไม่จำต้องสืบพยานว่าสัญญาประนีประนอมถูกแก้เพราะโจทก์กับพวกบังคับขู่เข็ญดังที่จำเลยอ้างที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share