คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกอดปล้ำและบีบคอโจทก์ร่วมจนหายใจไม่ออกและหมดสติไป หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ถอดเสื้อและกางเกงของตนออกคงเหลือแต่กางเกงใน พร้อมกับเลิกเสื้อชั้นนอกของโจทก์ร่วมขึ้นและดึงเสื้อชั้นในลงมองเห็นนมข้างซ้ายกับรูดกางเกงของโจทก์ร่วมไปสุดง่ามขามองเห็นกางเกงในทั้งตัว และขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังจับนมโจทก์ร่วมโดยนั่งคร่อมโจทก์ร่วมตรงบริเวณท้องน้อยก็พอดีมีคนมา จำเลยที่ 1 จึงหลบหนีไป ดังนี้ ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำชำเราโจทก์ร่วมได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ จำเลยทั้งสองคงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารเท่านั้น ส่วนบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับจากการที่ถูกบีบคอนั้นปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่า โจทก์ร่วมมีโลหิตออกที่ใต้ตาขวาทั้งสองข้าง มีรอยแดงที่คอด้านขวายาวประมาณ 2 นิ้ว กว้างประมาณ 1/3 นิ้ว ด้านซ้ายยาวประมาณ 1 นิ้ว กว้างประมาณ 1/3 นิ้ว เจ็บคอในเวลากลืนซึ่งแพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่า ลักษณะบาดแผลเช่นนี้เป็นการถูกบีบคออย่างรุนแรงโลหิตเดินไม่สะดวกทำให้เส้นโลหิตฝอยในตาขวาแตก หากไม่ได้รับความช่วยเหลือทันท่วงทีอาจถึงตายได้ และถ้าผู้ถูกบีบสลบไปโอกาสที่จะตายมีได้เสมอ จำเลยทั้งสองจึงย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าโจทก์ร่วมอาจถึงแก่ความตายได้จึงเห็นได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโจทก์ร่วมเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำผิดต่อกันในคราวเดียวกันยังมิได้ขาดตอน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ทั้งยังร่วมกันใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า เพื่อความสะดวกในการที่จำเลยทั้งสองจะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๐, ๘๓, ๒๗๖, ๒๗๘, ๒๘๘, ๒๘๙
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสองให้การรับว่าได้กระทำผิดจริงดังฟ้องแต่ไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม มีเจตนาเพียงทำร้าย เพื่อความสะดวกในการที่จะข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๘๐ และ ๒๗๘ กระทงหนึ่ง ลงโทษตามมาตรา ๒๗๖, ๘๐ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ ๑๓ ปี ๔ เดือน และผิดตามมาตรา ๒๘๙(๖), ๘๐ อีกกระทงหนึ่ง จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก ๕๐ ปี ตามมาตรา ๙๑ รวมความผิดสองกระทง จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๖๓ ปี ๔ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๒๘๙ (๖), ๘๐ อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙ (๖), ๘๐ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุกตลอดชีวิตคำให้การของจำเลยทั้งสองมีเหตุสมควรลดโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ ๑ หนึ่งในสาม จำเลยที่ ๒ หนึ่งในสี่ตามมาตรา ๗๘ เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก ๕๐ ปีตามมาตรา ๕๓ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๓๓ ปี ๔ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๓๗ ปี ๖ เดือน
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ได้เข้ารวบกอดโจทก์ร่วมทางด้านหลังและเมื่อโจทก์ร่วมดิ้นขัดขืนพร้อมทั้งร้องให้คนช่วย จำเลยที่ ๒ ได้เข้าช่วยจับแขนโจทก์ร่วมไว้ไม่ให้ดิ้นเพื่อให้จำเลยที่ ๑ ปิดปากและบีบคอโจทก์ร่วมจนสลบและหมดสติไป อันเป็นการร่วมกันกระทำความผิด สำหรับความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจาร ได้ความจากนายประนอม นายสมจิตร และนางสวิงพยานโจทก์แต่เพียงว่า นายประนอมกับนายสมจิตรเห็นจำเลยที่ ๑ นั่งคร่อมโจทก์ร่วมตรงบริเวณท้องน้อย และเมื่อนางสวิงขึ้นไปดูหลังจากที่จำเลยทั้งสองหลบหนีไปแล้ว ก็เห็นเสื้อชั้นนอกของโจทก์ร่วมถูกเลิกขึ้นเสื้อชั้นในถูกเลิกลง มองเห็นนมข้างซ้าย กางเกงรูดลงไปสุดง่ามขามองเห็นกางเกงในทั้งตัว แม้จำเลยที่ ๑ จะนำสืบรับว่าได้ถอดเสื้อและกางเกงของตนออกคงเหลือแต่กางเกงในและขณะที่กำลังจับนมโจทก์ร่วม พอดีมีคนมา จำเลยที่ ๑ จึงหลบหนีไปก็ตาม ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำชำเราโจทก์ร่วมได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานนี้ไม่ได้จำเลยทั้งสองคงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำอนาจารเท่านั้น ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมนั้น ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องปรากฏว่าโจทก์ร่วมมีโลหิตออกใต้ตาขวาทั้งสองข้าง มีรอยแดงที่คอด้านขวายาวประมาณ ๒ นิ้ว กว้างประมาณ ๑/๓ นิ้ว ด้านซ้ายยาวประมาณ ๑ นิ้ว กว้างประมาณ ๑/๓ นิ้ว เจ็บในคอเวลากลืน ซึ่งนายถนอม เติมกลิ่นจันทร์ แพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่าลักษณะบาดแผลเช่นนี้เป็นการถูกบีบคออย่างรุนแรง โลหิตเดินไม่สะดวกทำให้โลหิตฝอยในตาขาวแตก หากไม่ได้รับความช่วยเหลือทันท่วงทีอาจถึงตายได้และถ้าผู้ถูกบีบสลบไปโอากสที่จะตายมีได้เสมอ ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ กระทำดังกล่าวจึงย่อมจะเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าโจทก์ร่วมอาจถึงแก่ความตายได้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยที่ ๒ จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ ๑ พยายามฆ่าโจทก์ร่วมเพื่อความสะดวกในการที่จำเลยทั้งสองจะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามฟ้อง
ที่โจทก์ฎีกาว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าเพื่อความสะดวกในการที่จะข่มขืนกระทำชำเราเป็นคนละกรรมกับความผิดฐานกระทำอนาจารและพยายามข่มขืนกระทำชำเรานั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องเป็นการกระทำสองตอนก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสองร่วมกันจับโจทก์ร่วมและบีบคอโจทก์ร่วมจนถึงกับสลบไปอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า ก็โดยมีเจตนาเพื่อที่จะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมเป็นการกระทำผิดต่อกันในคราวเดียวยังมิได้ขาดตอน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน.

Share