คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1441/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ที่2ใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเพียง17,817.27บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยที่2ในส่วนซึ่งอาจเป็นผลถึงโจทก์ที่2ด้วยจึงเป็นการมิชอบ การที่จำเลยที่1ลูกจ้างผู้ทำหน้าที่ธุรการในกองแก๊สของจำเลยที่2ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจขับรถยนต์ของจำเลยที่2ซึ่งเป็นรถที่มีไว้เพื่อใช้งานรับส่งหนังสือและติดต่อภายนอกอันเป็นงานที่อยู่ในขอบข่ายหน้าที่การงานของพนักงานธุรการไปในเวลาทำงานของจำเลยที่2แล้วไปชนกับรถยนต์ของโจทก์นั้นเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าจำเลยที่1ขับรถยนต์คันเกิดเหตุในทางการที่จ้างของจำเลยที่2ในขณะเกิดเหตุ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮิลแมนคันหมายเลขทะเบียน กท. 3 ค – 4424 โจทก์ที่ 2 เป็นภรรยาโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และเป็นผู้ขับขี่รถยนต์จิ๊บวิลลี่ หมายเลขทะเบียน กท. 6 น – 7507 ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถไปในทางการทึ่จ้างในระหว่างการทำงานของจำเลยที่ 2 และขับรถโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ 1 เสียหาย โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ ขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่าเหตุที่รถชนกันเป็นความประมาทเลินเล่นของโจทก์ฝ่ายเดียว รถจำเลยที่ 1 เสียหายต้องเสียค่าซ่อม 10,000 บาท จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าซ่อมรถให้โจทก์ 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 ให้การว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของโจทก์ที่ 1จำเลยที่ 1 มิได้เป็นพนักงานขับรถและไม่มีอำนาจในการใช้รถยนต์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มิได้กระทำการในทางการที่จำเลยที่ 2ว่าจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 39,980 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 39,225 บาทนับแต่วันที่ 2 เมษายน 2523 จากต้นเงิน 2,755 บาท นับแต่วันที่ 14มีนาคม 2523 และจากต้นเงิน 8,000 นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้สามพันบาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เพราะไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ที่ 2 ใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน17,817.27 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 2 ในส่วนซึ่งอาจเป็นผลถึงโจทก์ที่ 2 ด้วย จึงเป็นการมิชอบจำเลยที่ 2 จะฎีกาขึ้นมาอีกไม่ได้ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
สำหรับปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงได้ความแล้วว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 น – 5707 คันที่เกิดเหตุเป็นของจำเลยที่ 2มีไว้เพื่อใช้งานรับส่งหนังสือและติดต่อภายนอกของกองแก๊ส จำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการของกองแก๊สขณะเกิดเหตุเป็นเวลาทำงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ การรับส่งหนังสือหรือติดต่อกับหน่วยงานภายนอก ก็อยู่ในขอบข่ายหน้าที่การงานของพนักงานธุรการ เช่น จำเลยที่ 1 พึงปฏิบัติได้ และได้ความจากนายบุญรัตน์ รัชตปิติ หัวหน้ากองแก๊สของจำเลยที่ 2 ว่า สามารถใช้พนักงานผู้อื่นขับรถยนต์คันที่เกิดเหตุนี้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องภายในที่บุคคลภายนอกไม่อาจทราบได้ ข้อที่จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่พนักงานขับรถไม่มีอำนาจขับรถคันที่เกิดเหตุรับฟังไม่ได้และจำเลยที่ 2 นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ยืมรถยนต์คันเกิดเหตุไปใช้ หลักฐานการยืมและใบลาของจำเลยที่ 1 ก็มิได้นำมาสืบ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ พฤติการณ์เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ในขณะเกิดเหตุ
พิพากษายืน แต่ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 โดยให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าธรรมเนียมศาลสำหรับทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 2 ในชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 2 ทั้งหมดค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share