คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้
จำเลยเบิกความในข้อที่ว่าโจทก์ชำระหนี้จำนองแล้วหรือไม่ ข้อนี้ไม่ว่าจะเท็จหรือไม่เท็จก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับหรือไม่ได้รับโฉนดคืนในคดีที่โจทก์ฟ้องผันแปรไปจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี ไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องฐานเบิกความเท็จ

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อความอันเป็นมูลเหตุที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จนั้นมี 2 ตอน สำหรับข้อความตอนที่ 1 นั้น พอจับใจความของคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองได้ว่า หากจะฟังว่าข้อความตามที่จำเลยเบิกความนั้นเป็นความเท็จ จำเลยก็มิได้มีเจตนาที่จะกระทำความผิด ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของธนาคารทหารไทย จำกัด สามารถทราบหรือรู้เห็นข้อความในคำเบิกความ (น่าจะเป็นข้อเท็จจริงตามที่นำมาเบิกความ) และจำเลยเบิกความเท็จโดยมีเจตนา จึงเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา ฎีกาโจทก์ในส่วนนี้จึงต้องห้าม

ส่วนข้อความตอนที่ 2 นั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยยกฟ้องด้วยข้อกฎหมายแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกฟ้องด้วยข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับข้อความตอนที่ 1โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และโจทก์ฎีกาโต้เถียงขึ้นมาด้วยเหตุผลอย่างเดียวกับส่วนที่เกี่ยวกับข้อความตอนที่ 1 แต่ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่บริษัทธนาคารทหารไทย จำกัด จะต้องคืนโฉนดให้แก่โจทก์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่แก่ปัญหาที่ว่าโจทก์ยังเป็นหนี้ตามสัญญาจำนองอยู่อีกหรือไม่ การชำระหนี้ตามสัญญาจำนองไม่ว่าจะได้กระทำโดยการแอบชำระให้หรือชำระให้โดยเปิดเผยไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ในอันที่จะได้รับหรือไม่ได้รับโฉนดคืนผันแปรไปหากจะฟังว่าข้อความตามคำเบิกความตอนที่ 2 นั้นเป็นความเท็จ ความเท็จนั้นก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกโฉนดคืน คดีโจทก์ยังไม่มีมูลพอที่ศาลจะพึงประทับฟ้องไว้พิจารณา”

พิพากษายืน

Share