คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3759/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 โกรธที่ ก. ภริยาไม่ยอมกลับบ้านและจำเลยที่ 2น้องของ ก. ห้ามปรามกีดกัน จึงก่อเหตุร้องท้าทายและเป็นฝ่ายยิงปืนเข้าไปในบริเวณบ้านจำเลยที่ 2 ซึ่ง ก. กับจำเลยที่ 2ยืนอยู่ก่อน กระสุนปืนถูกจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 2จึงวิ่งเข้าไปในบ้านเอาปืนมายิงต่อสู้ การกระทำของจำเลยที่ 1จึงไม่เป็นการป้องกันตัวและไม่ใช่การกระทำความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะ เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1ถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 288 ริบของกลางและนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอื่น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญมาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 จำคุก 1 ปี มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ,จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 11 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน ของกลางริบ คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อ ศาลพิพากษาแล้วโดยรอการลงโทษไว้ จึงไม่มีโทษที่จะนับต่อ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิวรรคหนึ่ง 72 ทวิ วรรคสอง จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้คดีมีปัญหาเพียงว่า จำเลยที่ 1ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 2 เพื่อป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์คือนางกรองทอง จำปาทองหรือศรีดอนโป่ง ภริยาจำเลยที่ 1นายเกรียงไกร จำปาทอง นางสาวจำเนียร จำปาทอง ซึ่งเป็นน้องนางกรองทอและจำเลยที่ 2 ตามลำดับว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ซึ่งขาลีบพิการและมีบ้านอยู่ห่างบ้านจำเลยที่ 2 ประมาณ 200 เมตร กล่าวหาว่านางกรองทองมีชู้จึงทะเลาะวิวาทกัน นางกรองทองจึงมาพักอาศัยบ้านจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขี่รถจักรยาน 2 ล้อไปตามนางกรองทองให้กลับบ้านและฉุดแขนนางกรองทอง นางกรองทองไม่ยอมกลับนายเกรียงไกรจึงบอกให้คนทั้งสองไปตกลงกันที่สถานีตำรวจหรือที่ที่ว่าการอำเภอ จำเลยที่ 1 ได้ด่านายเกรียงไกรและพูดว่า “ถ้าแน่ให้คอยกูเดี๋ยว” แล้วขี่รถจักรยาน 2 ล้อกลับไปเอาอาวุธปืนลูกซองยาวมายืนด่าท้าทายที่ประตูบ้าน เมื่อไม่มีใครโต้ตอบจำเลยที่ 1 ได้ยกปืนจ้องยิงไปทางนายเกรียงไกรและนางกรองทองซึ่งยืนอยู่ที่หน้าบ้านใกล้กันและอยู่ห่างจำเลยที่ 1 ประมาณ 10 เมตร กระสุนปืนถูกแขนและมือซ้ายจำเลยที่ 2 ซึ่งยืนห้ามจำเลยที่ 1 ไม่ให้เข้าไปในบ้านได้รับบาดเจ็บ และจำเลยที่ 1 ยังยิงเข้ามาในบ้านอีก จำเลยที่ 2บอกให้นายเกรียงไกรและนางสาวจำเนียรหนีออกไป แล้วจำเลยที่ 2 ไปหยิบปืนแก๊ปของนายกล่ำบิดามาหน้าบ้านยิงจำเลยที่ 1 มีเสียงปืนดังอีก 3-4 นัด มีผู้พาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งต่างได้รับบาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล นอกจากประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องกับบันทึกคำให้การของนางกรองทองในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.1 แล้ว ร้อยตำรวจตรีวิชัย แจ้งสกุล พนักงานสอบสวนยังเบิกความสนับสนุนด้วยว่า ตามทางสอบสวนได้ความว่าจำเลยที่ 1โกรธที่นางกรองทองภริยาไม่ยอมกลับบ้านทั้งยังถูกจำเลยที่ 2 กับญาติห้ามปรามไว้ จึงกลับไปเอาอาวุธปืนมาร้องท้าทายและเป็นฝ่ายยิงเข้าไปในบ้านจำเลยที่ 2 ก่อน จำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ที่เกิดเหตุตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 เป็นบริเวณบ้านจำเลยที่ 2คำพยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ก่อเหตุและใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในกลุ่มนางกรองทองภริยา จำเลยที่ 2 และนายเกรียงไกรน้องนางกรองทองซึ่งยืนอยู่ใกล้กันก่อน เพราะความโกรธที่นางกรองทองไม่ยอมกลับบ้านและจำเลยที่ 2 กับพวกห้ามปรามกีดกัน จำเลยที่ 2 จึงวิ่งเข้าไปในบ้านเอาอาวุธปืนมายิงต่อสู้ป้องกันตน พี่น้องและทรัพย์สิน ข้อที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 จับได้ว่า นางกรองทองภริยามีชู้ นางกรองทองกล่าวคำอาฆาตแล้วหนีไป วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1กับบุตร 2 คน ไปเกี่ยวข้าวในนาห่างบ้านประมาณ 50 วา ก็ถูกจำเลยที่ 2 กับนายเกรียงไกรซึ่งต่างเป็นน้องนางกรองทองร่วมกันใช้อาวุธปืนซุ่มยิงจำเลยที่ 1 ก่อน จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เป็นการป้องกันตัวเองนั้น ไม่น่าเชื่อ เพราะจำเลยที่ 1 รับว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 และนายเกรียงไกรแต่อย่างใดนอกจากนี้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่การกระทำความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของความผิดแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 2 เมื่อลดโทษหนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 9 เดือนนั้น ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share