แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกยื่นคำคัดค้าน เมื่อตามคำคัดค้านไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านครอบครองทรัพย์มรดกเพื่อตนเองในฐานะส่วนตัวจึงไม่มีประเด็นว่าผู้คัดค้านครอบครองทรัพย์มรดกเพื่อตนเองหรือไม่ ต้องถือว่าผู้คัดค้านยึดถือครอบครองมรดกไว้แทนทายาทของเจ้ามรดก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกทั้งหมดตลอดมา ย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดก จึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนางแอ่น ทรายคำ เป็นผู้จัดการมรดกของนายคำตาล กองกิจ เจ้ามรดก
ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นทายาทของเจ้ามรดก ผู้จัดการมรดกได้เบียดบังยักยอกทรัพย์มรดก และไม่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามกฎหมาย ขอให้ถอนผู้จัดการมรดก แล้วตั้งผู้ร้องทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกแทน
ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสามไม่ใช่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก ไม่มีความสามารถและไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านเพิ่งจะเป็นผู้จัดการมรดก การจัดการมรดกยังอยู่ในระหว่างรวบรวมทรัพย์มรดกและสืบเสาะหาทายาทผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก การกระทำของผู้ร้องทั้งสามเป็นการขัดขวางการจัดการทรัพย์มรดกขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องที่ ๓ ขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานผู้ร้องได้ ๔ ปาก แล้วเห็นว่า คดีพอจะวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งงดสืบพยานผู้ร้องที่เหลือและพยานผู้คัดค้านแล้ววินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกเฉพาะทรัพย์มรดกที่เป็นที่ดินที่ยังไม่มีโฉนดจำนวน ๘ แปลง ได้ความจากพยานผู้ร้องเองว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกทั้งหมดตลอดมา ผู้คัดค้านย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินทั้ง ๘ แปลง ดังกล่าวข้างต้น ผู้ร้องที่ ๑ที่ ๒ และทายาทอื่นไปขอแบ่งมรดกหลายครั้งแต่ผู้คัดค้านไม่ยอมแบ่งให้ ย่อมแสดงเจตนาให้เห็นว่าผู้คัดค้านมิได้ครอบครองทรัพย์มรดกทั้งหมดแทนทายาทอื่นด้วย เมื่อผู้ร้องที่ ๑ และที่ ๒ มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งสิทธิครอบครองภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และทายาทอื่นย่อมหมดสิทธิในที่ดินทรัพย์มรดกทั้ง ๘ แปลงนั้น จึงไม่ถือว่าผู้ร้องที่ ๑ และที่ ๒ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกที่ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
ผู้ร้องที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้ร้องที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนผู้จัดการมรดกและตั้งผู้ร้องที่ ๑ และที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกแทน ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องที่ ๑และที่ ๒ ไม่ใช่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก ไม่มีความสามารถและไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้จัดการมรดก ตามคำคัดค้านไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านครอบครองทรัพย์มรดกเพื่อตนเองในฐานะส่วนตัวแต่อย่างใด เมื่อผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล การที่ผู้คัดค้านยึดถือครอบครองทรัพย์มรดกจึงเป็นการยึดถือครอบครองไว้เพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาทของเจ้ามรดก ตราบใดที่การจัดการมรดกยังไม่เสร็จสิ้น ต้องถือว่าผู้จัดการมรดกยึดถือครอบครองทรัพย์มรดกไว้แทนทายาทของเจ้ามรดก หาใช่เป็นการยึดถือทรัพย์มรดกไว้เป็นของตนเองในฐานะส่วนตัวไม่ คดีคงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า ผู้ร้องที่ ๒ เป็นทายาทผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกหรือไม่และมีเหตุสมควรถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกแล้วตั้งผู้ร้องที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกแทนตามคำร้องหรือไม่ ซึ่งในประเด็นดังกล่าวจะต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่ผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และผู้คัดค้านนำสืบ การที่ศาลชั้นต้นด่วนตัดพยานผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และพยานผู้คัดค้านแล้วมีคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา กรณีมีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และพยานผู้คัดค้านต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๒) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ และคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และพยานผู้คัดค้านให้เสร็จสิ้นกระแสความแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี.