คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2195/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ ว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้เงินโจทก์ และจำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ตาม ฟ้อง โจทก์จะต้อง อ้างสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานในคดี เมื่อสัญญากู้ที่โจทก์อ้างจำนวนเงิน 55,816 บาทซึ่ง ตาม ป.รัษฎากรจะต้อง ปิด อากรแสตมป์ 28 บาท แต่ ปิดมาเพียง 20บาท ขาดไป 8 บาท ส่วนสัญญาค้ำประกันซึ่ง ค้ำประกันสัญญากู้ ซึ่ง ตามป.รัษฎากรต้อง ปิด อากรแสตมป์ 10 บาท แต่ ไม่ได้ปิด อากรแสตมป์เลยจึงถือ ได้ ว่าเป็นตราสารที่มิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ และไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 ดังนี้ ถือ ว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือที่มีลายมือชื่อผู้กู้และ ผู้ค้ำประกัน จึงไม่อาจฟ้องคดีให้จำเลยที่ 1 รับผิดตาม สัญญากู้ จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 55,816 บาทเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2526 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 55,816 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันกู้ถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญากู้ และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องกับโจทก์ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 55,816 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2526จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรม นายเมฆโพธิราช ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์ฟ้องนั้น คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้เงินโจทก์ และจำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์จะต้องอ้างสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานในคดี เมื่อสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์อ้างจำนวนเงิน 55,816 บาท ซึ่งตามประมวลรัษฎากรจะต้องปิดอากรแสตมป์ 28 บาท แต่ปิดมาเพียง 20 บาท ขาดไป 8 บาท ส่วนสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งค้ำประกันสัญญากู้ตามเอกสารหมายจ.1 ซึ่งตามประมวลรัษฎากรต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท แต่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เลย จึงถือได้ว่าเป็นตราสารที่มิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์และไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือที่มีลายมือชื่อผู้กู้และผู้ค้ำประกัน จึงไม่อาจฟ้องคดีให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญากู้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้…”
พิพากษายืน.

Share