คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยร่วมที่ 7 ร้องสอดอ้างว่าที่พิพาทตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย โจทก์ไม่ใช่เจ้าของ และจำเลยไม่มีอำนาจนำที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยพลการ สัญญาไม่มีผลบังคับจำเลย ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องได้มีอยู่ จึงร้องสอดเข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ดังนี้ แม้คำร้องจะกล่าวว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วม และเมื่อศาลสอบถามผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดก็แถลงยืนยันขอเป็นจำเลยร่วมก็ดีแต่เนื้อความแห่งคำร้อง การระบุมาตรา แสดงเหตุแห่งการขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามจึงเป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1)
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) โดยเป็นจำเลยร่วมที่ 7 แล้วพิจารณาและพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งเจ็ดคนแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และใช้ค่าเสียหาย เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามคำร้องสอดของจำเลยร่วมที่ 7 เป็นการร้องสอดตามมาตรา 57 (1) และมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยคนละประเด็นกับที่จำเลยเดิมต่อสู้ไว้ จึงเป็นเหตุสมควรที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ แต่ควรให้ดำเนินการพิจารณาใหม่ระหว่างผู้ร้องสอดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีใหม่บางส่วน ส่วนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเมื่อผลแห่งคดีของจำเลยและผู้ร้องสอดเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ซึ่งมีผลไปถึงเจ้าของรวมคนอื่นคือจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 6 ด้วย จึงต้องให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 6 เสียด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ และชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่ตกลงแบ่งให้โจทก์นั้น หมายความว่าทางโจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่จริง ๆ เท่านั้นจึงจะแบ่งให้ โจทก์มิได้มีสิทธิครอบครองและสัญญาดังกล่าวหมดข้อผูกพันแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นชี้สองสถาน จำเลยแถลงรับว่ามีสัญญาประนีประนอมยอมความริงติดใจเพียงปัญหาว่าจำเลยไม่ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และข้อค่าเสียหายศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นพิพาทว่า (๑) มีข้อตกลงภายหลังเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ (๒) ค่าเสียหายเพียงใดให้จำเลยนำสืบก่อน
ก่อนสืบพยานนายกระสินธุ์ คินันท์ กับพวกรวม ๖ คน ยื่นคำร้องสอดอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทร่วมกับจำเลย จำเลยไม่มีอำนาจเอาที่พิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปันกันไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อยังให้ได้รับรองคุ้มครองสิทธิ ผู้ร้องทั้ง ๖ จึงร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้นายกระสินธุ์ คินันท์ กับพวกรวม ๖ คนเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๒) จำเลยร่วมทั้ง ๖ แถลงขอใช้คำให้การ บัญชีพยาน และถือตามประเด็นที่ศาลได้ชี้ไว้แล้วทุกอย่าง
ระหว่างสืบพยาน นางทวีทรัพย์ คุณาวุฒิ โดยนายสงุ่น สมบูรณ์ทรัพย์ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องว่าที่ดินที่พิพาทตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและจำเลยไม่มีอำนาจนำที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ สัญญาไม่มีผลบังคับจำเลย เพื่อยังให้ได้รับการรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องมีอยู่ จึงร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) แต่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางทวีทรัพย์ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งง มาตรา ๕๗ (๒) ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกยากระสินธุ์ คินันท์ กับพวกรวม ๖ คนว่าจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ ตามลำดับ เรียกนางทวีทรัพย์ คุณาวุฒิ ว่าจำเลยร่วมที่ ๗
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยไม่ได้ตกลงถือเอาความเห็นของ ก.ด.ป. ให้เป็นสัญญาลบล้างสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จึงพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งเจ็ดปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวและร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยและจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ อุทธรณ์ มีใจความทำนองเดียวกันว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีผลบังคับ และได้มีข้อตกลงกันภายหลังให้สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นระงับไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๗ อุทธรณ์ ขอเข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๑) เพื่อต่อสู้คดีโจทก์ ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คำร้องสอดของนางทวีทรัพย์ คุณาวุฒิจำเลยร่วมที่ ๗ ร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของนางทวีทรัพย์ คุณาวุฒิ ที่มีอยู่ เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) มีเหตุสมควรต้องพิจารณาคดีระหว่างนางทวีทรัพย์ คุณาวุฬิ กับโจทก์ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๒) เนื่องด้วยผลแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันจะแบ่งแยกจากกันมิได้ จึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยและจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ เสียด้วย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้นางทวีทรัพย์ คุณาวุฒิ เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ และพิพากษาไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ ๗ ร้องสอดเข้ามาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) ไม่ชอบ และพยานจำเลยไม่น่าเชื่อว่าได้มีข้อตกลงภายหลังให้จำเลยหลุดพ้นไม่ต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์และชดใช้ค่าเสียหาย นางทวีทรัพย์ คุณาวุฒิ จำเลยร่วมที่ ๗ ร้องสอดอ้างว่าที่ดินพิพาทตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยโจทก์ไม่ใช่เจ้าของ และจำเลยไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยพลการ สัญญาไม่มีผลบังคับจำเลย ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องได้มีอยู่ ดังนี้ เห็นว่าคำร้องสอดของผู้ร้องชัดแจ้งแสดงถึงเหตุการขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เข้าลักษณะเป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) แล้ว เป็นการตั้งข้อพิพาทโต้แย้งกับโจทก์ ซึ่งในการพิจารณาดังกล่าวมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ด้วยความยินยอมของเจ้าของรวมคนอื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับที่จำเลยเดิมให้การต่อสู้ไว้ ถ้าหากได้ความว่าเจ้าของรวมไม่ได้ให้ความยินยอมแล้วก็ไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญานั้นได้ หรือบังคับให้ปฏิบัติได้ก็เพียงบางส่วนเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๑ กรณีจึงมีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาคดีใหม่ และการพิจารณาใหม่เห็นสมควรดำเนินการพิจารณาระหว่างนางทวีทรัพย์ คุณาวุฒิ ผู้ร้องสอด กับโจทก์ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยซึ่งเป็นการพิจารณาใหม่บางส่วน อนึ่ง เนื่องด้วยผลแห่งคดีของจำเลยและผู้ร้องสอดเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันไม่อาจแบ่งแยกได้ ซึ่งมีผลไปถึงเจ้าของรวมคนอื่นด้วย จึงต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลย และจำเลยร่วมที่ ๑ ถึงที่ ๖ เสียด้วย ที่โจทก์ฎีกาว่าคำร้องของผู้ร้องสอดกล่าวว่าขอยื่นคำร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วม และเมื่อศาลสอบถามผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดก็แถลงยืนยันว่าขอเข้าเป็นคู่ความโดยเป็นจำเลยร่วมอีกย่อมแสดงว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา ๕๗ (๒) นั้น พิเคราะห์แล้วแม้ว่าคำร้องจะกล่าวว่าขอเข้าเป็นจำเลยร่วม แต่เนื้อความแห่งคำร้องมีลักษณะเป็นการขอเข้ามาตามมาตรา ๕๗ (๑่) ทั้งคำร้องก็ได้ระบุมาตราที่ขอไว้ด้วยคือ มาตรา ๕๗ (๑) ดังนี้ เห็นว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นการขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) ทั้งนี้เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share