คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1781-1786/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนที่โจทก์ซึ่งเป็นคนงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยจะถูกตำรวจจับมาฟ้องคดีอาญาในข้อหากบฎภายในราชอาณาจักร โจทก์กับคนงานการรถไฟฯ ได้มีการหยุดงานกันมาก่อน แต่จำเลยคือการรถไฟฯไม่ได้สั่งพักงานโจทก์เพราะพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ หากแต่เห็นโจทก์มีปฏิกิริยาอื่นต่อมาจนตำรวจจับมาฟ้อง การรถไฟฯจึงสั่งพักงานโจทก์ ในที่สุดได้ความชัดว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดทางอาญา แม้ว่าโจทก์จะได้กระทำผิดทางวินัย
แต่ก็ไม่ปรากฎว่าได้มีการสอบสวนโจทก์ตามระเบียบการของการรถไฟฯ ฉบับที่ 7 ข้อ 7,9 เช่นนี้ โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการรถไฟฯ จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้โจทก์การที่การรถไฟฯจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเอง จะปรับให้โจทก์รับผิดในการกระทำของการรถไฟฯจำเลยนั้นไม่ได้.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2501)

ย่อยาว

เรื่อง เรียกค่าจ้างแรงงาน
คดี ๖ สำนวนนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างแรงงานระหว่างถูกจำเลยสั่งพักงาน จำเลยต่อสู้หลายประการโดยเฉพาะว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่การงานไปเอง ทั้งยังได้เป็นหัวหน้ายุยงชักชวนพวกคนงานอื่นๆ ของจำเลยให้ละทิ้งหน้าที่การงานไปด้วย จำเลยพยายามชี้แจงและสั่งให้โจทก์กับพวกกลับเข้าทำงานโดยดี แต่โจทก์ก็ขัดคำสั่งของจำเลย หาได้กลับเข้าทำงานตามเดิมไม่คงละทิ้งงานตลอดมา
ในการชี้สองสถาน คู่ความได้แถลงรับกันว่า ฯลฯ โจทก์จำเลยรับกันต่อไปว่า ก่อนที่โจทก์ทั้ง ๖ จะถูกจับมาฟ้องในคดีอาญาแดงที่ ๑๔๓๑/๒๔๙๖ นั้น โจทก์กับคนงานของจำเลยได้มีการหยุดงานกันมาก่อน แต่จำเลยไม่ได้สั่งพักงานโจทก์มีปฏิกิริยาอื่นต่อมาจนตำรวจจับมาฟ้อง จำเลยไม่ได้แถลง คดีจึงมีประเด็นเฉพาะว่า การที่จำเลยสั่งพักงานโจทก์นั้นแล้วนั้น โจทก์มีสิทธิได้ค่าจ้างแรงงานหรือไม่
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง ให้จำเลยใช้ต้นเงินแก่โจทก์ทุกคนพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๔๙๗ จนกว่าจะชำระเสร็จ
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกามีว่า ตามระเบียบการของการรถไฟฯฉบับที่ ๗ ข้อ ๗ ว่า คนงานผู้ใดมีกรณีต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือถูกฟ้องคดีอาญา เว้นแต่ความผิดฐานลหุโทษหรือความผิดฐานประมาท ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าจะให้คงอยู่ในหน้าที่การงานระหว่างสอบสวนหรือเป็นการเสียหายแก่กิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้ว จะให้ผู้นั้นพักงานเพื่อรอฟังผลแห่งการสอบสวนหรือพิจารณาก็ได้ การกระทำอันเป็นเหตุให้สั่งพักงานตามความในข้อนี้มี ๒ นัย คือทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงประการหนึ่งหรือถูกฟ้องคดีอาญาอีกประการหนึ่ง การกระทำ ๒ อย่างนี้ อาจแยกจากกันโดยเด็ดขาด ข้อ ๙ กล่าวว่า ในกรณีที่มีการส่งพักงาน ถ้าผลแห่งการสอบสวนหรือพิจารณาได้ความว่าผู้ถูกสั่งพักไม่ได้กระทำผิดเลย ต้องให้กลับเข้าทำงานตามเดิม โดยจ่ายค่าจ้างแรงงานระหว่างพักให้เต็มอัตราของค่าจ้างแรงงาน แต่ถ้าปรากฎว่าได้กระทำผิดจริง หรือมีมลทินมัวหมอง ให้ไล่ออกโดยไม่จ่ายค่าจ้างแรงงานระหว่างพักงานให้เลย เว้นแต่ถ้าความผิดนั้นไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษไล่ออก ก็ให้ลงโทษสถานอื่นและจ่ายค่าจ้างแรงงานระหว่างพักไม่เกินกิ่งอัตราของค่าจ้างแรงงาน ข้อเท็จจริงได้ความชัดว่าโจทก์ทั้ง ๖ ไม่ได้กระทำผิดทางอาญา
แม้ว่าโจทก์จะได้กระทำผิดทางวินัยแต่ก็ไม่ปรากฎว่าได้มีการสอบสวนโจทก์ตามระเบียบการฉบับที่ ๗ ข้อ ๗ ข้อ ๙ บังคับไว้ โดยมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานให้โจทก์ การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเอง จะปรับให้โจทก์รับผิดในการกระทำของจำเลยไม่ได้
ข้อที่ควรยกขึ้นวินิจฉัยยังมีอีกว่า ตามระเบียบการฉบับที่ ๗ ข้อ ๙ ดังกล่าวนั้น จะลงโทษโจทก์สถานอื่นโดยจ่ายค่าจ้างแรงงานระหว่างพักไม่เกินกึ่งอัตราได้หรือไม่ ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตั้งประเด็นขึ้น เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยต้องเสียค่าจ้างแรงงานระหว่างพักงานเพราะความผิดของจำเลยแล้ว จำเลยก้ต้องรับผิดเต็มตามประเด็นที่โต้เถียงกัน ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น.

Share