แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยพิพากกันเรื่องคูที่กั้นเขตระหว่างที่ว่าเป็นของตน แต่นำสืบให้เห็นโดยชัดเจนไม่ได้ว่าเป็นของใคร ก็ต้องใช้บทสันนิษฐานของประมวลแพ่ง ฯ ม.1344 คือถือว่าคู่ความเป็นเจ้าของคูร่วมกัน ตัดสินให้เป็นเจ้าของคนละครึ่ง.
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลสั่งให้รวมพิจารณา โดยเรียกนางผินทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ และเรียกนายด่วน นางสอิ้งว่าจำเลย
สำนวนแรกนางผินโจทก์ฟ้องว่า เมื่อราวเดือนสิงหาคม ๒๔๙๕ จำเลยได้บุกรุกเข้าไปกั้นรั้วไม้ขัดแตะในที่ดินซึ่งเป็นคูของโจทก์ตามแผนที่ท้ายฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าคูเป็นของโจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนและห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยต่อสู้ว่า ได้ซื้อที่ดินโฉนด ๒๔๑๐ ตำบลบางแวก อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี จากนางอรุณ นาครทรร+ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๙๒ โดยสุจริต ที่นี้ติดต่อกับที่โจทก์คูจอดเรือเป็นของจำเลย ๆ เคยให้เจ้าของเดิมและโจทก์อาศัยใช้ จำเลยกั้นรั้วเพราะโ่จทก์เกะกะ แม้โจทก์จะอ้างการครอบครองโดยปรปักษ์ก็ยกขึ้นต่อสู้จำเลยผู้ซื้อโดยสุจริตไม่ได้
ในสำนวนหลังจำเลยกลับฟ้องโจทก์ว่าจำเลยซื้อที่มามีอาณาเขตเลยรั้วไป ๕ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้อง โจทก์โต้แย้งการครอบครองที่ดินในฟ้องสำนวนแรก จึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่ภายในเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของจำเลย และห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง และให้โจทก์รื้อถอนไม้เสาและกระดานออกไป
โจทก์ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกับที่โจทก์ฟ้องในสำนวนแรก
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ และพิพากษาต่อไปว่า อู่เรือและบริเวณเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าไปเกี่ยวข้อง และให้โจทก์รื้อถอนไม้กระดานและเสาไป
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าดูพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยคนละครึ่ง
จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาพิพากษาว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่ง ฯ ม.๑๓๔๔ ว่า กำแพง รั้วต้นไม้ คู ซึ่งหมายเขตที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เจ้าของที่ดินทั้งสองเป็นเจ้าของร่วม เมื่อคู่ความไม่สามารถนำสืบให้เห็นก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายสันนิษฐาน จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.