แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินและค้ำประกัน ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับเงินกู้ตามฟ้องไปจากโจทก์แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเช่าหลักทรัพย์ที่ดินของโจทก์เพื่อประกันตัวนาย ว. ญาติของจำเลยที่ 2 โดยโจทก์เรียกค่าตอบแทนและให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโดยให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้เพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวนาย ว. ในคดีอาญาต่อศาล การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญากู้เงินและค้ำประกันต่อโจทก์ก่อนแล้วโจทก์จึงไปยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวนาย ว. นั้น ขณะทำสัญญากู้เงินและค้ำประกันดังกล่าว สัญญาประกันตัวนาย ว. ยังไม่ได้ทำและความเสียหายอันเกิดจากสัญญาประกันตัวนาย ว. ยังไม่ได้เกิดขึ้น ทำให้ไม่มีมูลหนี้เดิมที่จะแปลงเป็นมูลหนี้ในสัญญากู้เงินได้ จึงไม่เป็นการแปลงนี้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าศาลจะตีราคาประกันเท่าใด จึงเป็นหนี้ที่ไม่แน่นอนและไม่อาจทำสัญญากู้เงินเพื่อประกันหนี้นั้นได้ ดังนั้น จำเลยที่ 1 ผู้กู้เงินและจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๗ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยตามกฎหมาย กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๗ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวไว้กับโจทก์ ครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์คิดดอกเบี้ยนับแต่วันกู้เงินถึงวันฟ้องร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไป เป็นเงิน ๓,๖๒๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกับชำระเงิน ๑๐๓,๖๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้กู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ เหตุที่ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้ขอเช่าหลักทรัพย์ที่ดินโจทก์ไปทำสัญญาประกันตัวนาย ว. ญาติของจำเลยที่ ๒ ซึ่งต้องหาคดีอาญาเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท โจทก์จึงให้จำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้ฉบับแรก และให้จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน ฉบับที่สองให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้กู้ และให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ค้ำประกัน ฉบับที่สามให้บิดาจำเลยที่ ๒ เป็นผู้กู้และให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำนวนเงินกู้ฉบับละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท หากจำเลยทั้งสองและบิดาจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมลงลายมือชื่อในสัญญา โจทก์จะไม่ยื่นประกันตัวนาย ว. ดังนั้น จึงไม่มีมูลหนี้ตามสัญญา จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๑๐๓,๖๒๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อไปจากต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทำสัญญาประกันไว้ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงในสำนวนว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินกู้จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามฟ้องไปจากโจทก์ รูปคดีน่าเชื่อดังที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยทั้งสองเช่าหลักทรัพย์ น.ส.๓ ที่ดินของโจทก์เพื่อประกันตัวนายวิรัตน์โดยโจทก์เรียกค่าตอบแทนและให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินโดยให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้เพื่อเป็นประกัน ในการที่โจทก์ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวนายวิรัตน์พี่ของจำเลยที่ ๒ ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงประชาชน เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำสัญญากู้เงินและค้ำประกันกับโจทก์ก่อนแล้วโจทก์จึงไปยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวนายวิรัตน์ต่อศาล ขณะทำสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าว สัญญาประกันตัวนายวิรัตน์ยังไม่ได้ทำ และความเสียหายอันเกิดจากสัญญาประกันตัวนายวิรัตน์ยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีหนี้เดิมที่จะแปลงเป็นมูลหนี้ในสัญญากู้เงินได้ จึงไม่เป็นการแปลงหนี้อีกทั้งยังไม่รู้ว่าศาลจะตีราคาประกันเท่าใดจึงเป็นหนี้ที่ไม่แน่นอน และไม่อาจทำสัญญากู้เงินเพื่อประกันหนี้นั้นได้ ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ผู้กู้เงินและจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์