คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งจากผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 ให้นำท่อน้ำไปทำเกลียว จำเลยที่ 1 จึงขับรถไปตามคำสั่งของจำเลยที่ 2โดยผูกท่อน้ำไว้กับรถของจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 จอดรถอยู่ในช่องทางที่ 3 ซึ่งอยู่ติดกับเกาะกลางถนน โจทก์ขับรถยนต์มาชนท่อน้ำที่ผูกติดกับรถจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้บังโคลนรถโจทก์ได้รับความเสียหาย และตาทั้งสองข้างของโจทก์พิการ เมื่อพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้ละเว้น ไม่ทำเครื่องหมายให้ปลอดภัยไว้ท้ายท่อน้ำซึ่งยื่นพ้นออกมาจากท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1ถึง 2 เมตร อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการจราจร และเป็นการประมาทเลินเล่อ ส่วนโจทก์ซึ่งขับรถมาชนท่อน้ำนั้นได้ใช้ความระมัดระวังในการขับรถในขณะเกิดเหตุพอสมควรแก่พฤติการณ์แวดล้อมแล้ว ดังนี้จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ตามทางการที่จ้าง ขับรถยนต์บรรทุกท่อน้ำขนาด ๖ หุนยาว ๖.๑๐ เมตร ๑ ท่อน ผูกไว้ที่ข้างรถด้านซ้ายสูงจากพื้นรถประมาณครึ่งเมตร ยื่นล้ำออกนอกตัวถังด้านท้ายรถเกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตไว้และมิได้มีเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าบรรทุกของยื่นล้ำออกมานอกตัวถังรถ โจทก์ขับรถยนต์ตามมาข้างหลังรถจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ขับรถยนต์เลยเกาะกลางถนนด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังและฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยที่ ๑ เลี้ยวรถไปทางขวาโดยไม่ได้ให้สัญญาณเลี้ยวขวา และเมื่อเลี้ยวขวายังไม่ตลอดคัน จำเลยที่ ๑ ก็หยุดรถทันทีโดยมิได้ให้สัญญาณ เป็นเหตุให้ท่อน้ำที่ยื่นล้ำออกมาสอดเข้ามาทางช่องหูช้างของรถยนต์ที่โจทก์ขับมา ท่อน้ำทิ่มตาของโจทก์ข้างขวาบาดเจ็บ แล้วไถลทิ่มดวงตาข้างซ้ายของโจทก์หลุดออกจากเบ้า เป็นเหตุให้ตาพิการตลอดชีวิต รถที่โจทก์ขับหันรถมานอกเส้นทาง ชนท้ายรถบรรทุกซึ่งวิ่งอยู่ในอีกเส้นทางหนึ่ง ทำให้รถโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒แต่เป็นลูกจ้างของผู้อื่น และปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของผู้อื่น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นความประมาทของโจทก์ค่าเสียหายของโจทก์มีไม่มากอย่างที่โจทก์เรียกร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์โดยประมาทและฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายดังโจทก์ฟ้อง ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ได้รับคำสั่งจากนายสุนทร เจริญสุขวัฒนะผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๒ ให้นำท่อน้ำไปทำเกลียวจำเลยที่ ๑ จึงขับรถไปตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ โดยผูกท่อน้ำไว้กับรถของจำเลยที่ ๑ขณะที่จำเลยที่ ๑ จอดรถอยู่ในช่องทางที่ ๓ ซึ่งอยู่ติดกับเกาะกลางถนนโจทก์ขับรถยนต์มาชนท่อน้ำที่ผูกติดกับรถจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้บังโคลนหน้ารถโจทก์ได้รับความเสียหายและตาทั้งสองข้างของโจทก์พิการ
ในปัญหาว่า จำเลยที่ ๑ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยฝ่าฝืนกฎหมายและโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยคำพยานทั้งสองฝ่ายแล้วฟังว่า ท่อน้ำที่จำเลยที่ ๑ บรรทุกรถมาข้างท้ายรถยื่นพ้นออกมา ๒ เมตรนั้นไม่มีผ้าแดงผูกไว้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการจราจร
ในปัญหาว่า โจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังในการขับรถในขณะเกิดเหตุพอสมควรแก่พฤติการณ์แวดล้อมหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์มองไม่เห็นท่อน้ำในรถจำเลยจากด้านหน้าต่างหูช้างของรถโจทก์นั้นจะถือว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเพราะโจทก์ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการขับรถในขณะเกิดเหตุพอสมควรมิได้
เมื่อจำเลยที่ ๑ ละเว้นไม่ทำเครื่องหมายให้ปลอดภัยไว้ท้ายท่อน้ำซึ่งยื่นออกมาจากรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว และการละเว้นของจำเลยที่ ๑ นั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและเป็นการประมาทเลินเล่ออันเป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับอันตรายถึงสาหัส เช่นนี้ จำเลยที่ ๑ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์
ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่และประเด็นค่าเสียหายมีเพียงใด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ ๑เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และกระทำภายในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒แต่ประเด็นอื่นศาลล่างยังไม่ได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในอันที่จะวินิจฉัยประเด็นทั้งสองข้อนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำสืบไว้แล้วเห็นควรวินิจฉัยให้เสร็จไป
ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ไว้ว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒แต่เป็นลูกจ้างของผู้อื่น และปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของผู้อื่นแต่ในชั้นนำสืบจำเลยก็มิได้นำสืบตามที่ต่อสู้ไว้ แต่กลับนำสืบเจือสมคำพยานฝ่ายโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้ว ดังนั้น จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพื่อการละเมิดรายพิพาทนี้
ประเด็นค่าเสียหายนั้น โจทก์ฝ่ายเดียวนำสืบโดยจำเลยมิได้นำสืบคัดค้านศาลฎีกากำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น ๒๔๓,๓๐๐ บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์

Share