คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1377/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขายยามาตรา 15(3) ซึ่งไม่อาจขายยาควบคุมพิเศษได้ เมื่อจำเลยขายยาอันเป็นยาควบคุมพิเศษจึงเป็นการขายยาแผนปัจจุบันไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามมาตรา19(2) เป็นความผิดตามมาตรา 102 ยาของกลางจึงริบตามมาตรา 126 ไม่ได้
เมื่อความผิดของจำเลยอยู่ที่ไม่มี ไม่เขียน ไม่พิมพ์ป้ายแสดงราคายาของกลางอันเป็นโภคภัณฑ์ที่จำเลยมีไว้สำหรับจำหน่ายยาของกลางจึงเป็นโภคภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิดอันจะพึงริบตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9
ความผิดฐานขายยาไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และความผิดฐานไม่มีป้ายแสดงราคาโภคภัณฑ์ที่มีไว้จำหน่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 เป็นความผิดสองกรรม เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามบทมาตราที่มีโทษหนัก โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษ จำเลยผู้เดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12,101,126 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดโดยกำหนดโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 102 อีก เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จซึ่งมิใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ ได้บังอาจขายยา “เนิพเพียว”อันเป็นยาแผนปัจจุบันควบคุมพิเศษ เป็นการขายยาไม่ตรงตามประเภทใบอนุญาตและมิได้รับใบอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดผู้อนุญาตตามพระราชบัญญัติยา และจำเลยซึ่งเป็นผู้ขายยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆอันเป็นโภคภัณฑ์ ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยไม่มี ไม่เขียน ไม่พิมพ์ป้ายแสดงราคายาอันเป็นโภคภัณฑ์ที่จำเลยมีไว้สำหรับจำหน่ายให้ถูกต้องตามลักษณะและวิธีการในพระราชกฤษฎีกาควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาพ.ศ. 2510 มาตรา 12, 19, 101, 102, 126 พระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 3, 4, 5, 6, 9 พระราชกฤษฎีกาควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 3, 4, 5 แต่ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 เดือนปรับ 800 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงเหลือจำคุก 2 เดือน ปรับ 400 บาท โทษจำคุกรอไว้ 1 ปี ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาพ.ศ. 2510 มาตรา 19, 102 ปรับ 1,000 บาท พระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9 ปรับ 200 บาท รวมปรับ 1,200 บาทลดกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 600 บาทของกลางทั้งหมดให้คืนจำเลย คำขอนอกนี้ให้ยก

โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510มาตรา 12, 101 ด้วย ขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทจะเรียงกระทงลงโทษไม่ได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 15บัญญัติว่าประเภทของใบอนุญาตสำหรับยาแผนปัจจุบันมี 5 ประเภทคือ (1) ใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน (2) ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน(3) ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่มิใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ (4) ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จสำหรับสัตว์ และ (5) ใบอนุญาตนำหรือสั่งยาแผนปัจจุบันเข้ามาในราชอาณาจักร และตามความในมาตรา 26 วรรคหนึ่ง (3) แสดงว่าผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขายยาแผนปัจจุบันตามมาตรา 15(2) อาจทำการขายยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษได้ จำเลยนี้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขายยาตามมาตรา 15(3) ซึ่งไม่อาจขายยาควบคุมพิเศษได้ ดังนั้น เมื่อจำเลยขายยา “เนิพเพียว” อันเป็นยาควบคุมพิเศษ จึงเป็นการขายยาแผนปัจจุบันไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามมาตรา 19 (2) และเป็นความผิดตามมาตรา 102 ยา “เนิพเพียว” ของกลาง จึงริบตามมาตรา 126 ไม่ได้

โจทก์ฎีกาว่ายาของกลางเป็นโภคภัณฑ์เกี่ยวเนื่องกับความผิดจึงต้องริบตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9 นั้นศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดของจำเลยอยู่ที่ไม่มี ไม่เขียน ไม่พิมพ์ป้ายแสดงราคายาของกลางอันเป็นโภคภัณฑ์ที่จำเลยมีไว้สำหรับจำหน่าย ดังนั้น ยาของกลางจึงเป็นโภคภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิดอันจะพึงริบตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมชอบแล้ว แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท และให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่มีโทษหนัก โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย จำเลยผู้เดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2500 (ที่ถูกเป็น 2510) มาตรา 12, 101, 126 และขอให้คืนของกลางแก่จำเลย ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิด โดยกำหนดโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 102 อีก เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 คงลงโทษจำเลยได้เท่าที่กำหนดมาตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9

พิพากษาแก้เฉพาะกำหนดโทษ เป็นว่า ให้ปรับ 200 บาท ลดกึ่งคงปรับ 100 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share