คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของ ว. ให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ ว. ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย ให้ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแยกได้เมื่อศาลฎีกาฟังว่า ว. มิได้ขับรถโดยประมาท แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา คงฎีกาขึ้นมาเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3 ศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245ประกอบด้วยมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายวุ้น หรือจุ้น แซ่ลิ้ม ลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โดย ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทชนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนซึ่งมีนายสุครีพ นาเจริญ เป็นผู้ขับขี่มีโจทก์นั่งซ้อนท้ายแล่นสวนทางมาเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นนายจ้างของนายวุ้นหรือจุ้น แซ่ลิ้ม จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อ จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก และมิได้เป็นนายจ้างของนายวุ้นหรือจุ้น แซ่ลิ้มเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทของนายสุครีพ นาเจริญผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์แต่เพียงฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 รับว่าได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุจริง โดย จะรับผิดตามสัญญาก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดเท่านั้น แต่คดีนี้เหตุเกิดเพราะความประมาทของนายสุครีพ นาเจริญ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์แต่เพียงฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 55,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดในวงเงิน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เหตุที่รถชนกันดังกล่าวจึงไม่ได้เกิดจากความประมาทของนายวุ้นอันจะเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 อีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฟังขึ้น อนึ่ง การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น เป็นฟ้องที่ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้อันจะแบ่งแยกกันชำระมิได้ แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 ประกอบกับมาตรา 247”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share