คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ไม่มีอำนาจคัดค้านขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งอายัดที่ดินนั้น เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ก็ตาม โจทก์ชอบที่จะยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้
ที่ดินมีโฉนดมีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้อายัด แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าที่ดินนี้ยังคงเป็นของ ป. ตามผลของคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งอยู่ก็ตาม ตราบใดยังไม่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนั้น ผู้ร้องก็ยังมีสิทธิ์ในที่ดินนั้นอยู่ เมื่อสิทธิ์เช่นว่านี้ถูกโต้แย้งโดยการที่โจทก์ขอให้อายัดที่ดินดังกล่าวไว้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิ์ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
กรณีที่ศาลพิพากษาให้ ป. โอนขายที่ดินให้จำเลยนั้น จะถือว่าเป็นทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลยยังไม่ได้ เพราะ ป. จะชำระหนี้ส่วนของตน คือโอนที่ดินให้จำเลยก็ต่อเมื่อจำเลยชำระหนี้ตอบแทนคือชำระราคาที่ดินให้ ป. ด้วย ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังมิได้เสนอที่จะชำระราคาที่ดินและกำหนดเวลาให้ ป. โอนที่ดินนั้นให้ตนแล้ว จะถือว่าหนี้ที่ ป. จะต้องโอนที่ดินให้จำเลยถึงกำหนดชำระยังมิได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจขอให้อายัดที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ย และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขออายัดที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ โดยอ้างว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนแก้โฉนดให้บุคคลอื่น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้อายัดที่ดินไว้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอายัด โดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินนี้และคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนเป็นเท็จ
โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องมิใช่เจ้าของที่ดิน และโจทก์ใช้สิทธิ์เรียกร้องในนามตนเองแทนจำเลย ชอบที่จะขออายัดที่ดินนั้นได้
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ถอนหมายอายัด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ นี้ยังเป็นของนางสาวประเสริฐอยู่ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ๖๔๗๘/๒๕๑๑ ฉะนั้นผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินดังกล่าว ไม่มีอำนาจคัดค้านขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งอายัดที่ดินนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหานี้แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์จึงชอบที่จะยกขึ้นว่าในชั้นนี้ได้ และเห็นว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ นี้ มีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้อายัด แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าที่ดินนี้ยังคงเป็นของนางสาวประเสริฐตามผลของคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๖๔๗๘/๒๕๑๑ ของศาลแพ่งอยู่ก็ตาม ตราบใดยังไม่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาดังกล่าว ผู้ร้องก็ยังมีสิทธิ์ในที่ดินนั้นอยู่ เมื่อสิทธิ์เช่นว่านี้ของผู้ร้องถูกโต้แย้งโดยการที่โจทก์ขอให้อายัดที่ดินดังกล่าวไว้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิ์ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดนั้นได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕
โจทก์ฎีกาต่อไปว่าโจทก์มีอำนาจขอให้อายัดที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ ได้ เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๕๔(๑) สำหรับปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ ซึ่งศาลพิพากษาให้นางสาวประเสริฐโอนขายให้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๕๑๔/๒๕๐๙ ของศาลแพ่งนั้น หาใช่ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลยไม่ เพราะนางสาวประเสริฐจะชำระหนี้ส่วนของตนคือโอนที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ ให้จำเลยก็ต่อเมื่อจำเลยชำระหนี้ตอบแทนคือชำระราคาที่ดินดังกล่าวให้นางสาวประเสริฐด้วย ฉะนั้น ตราบใดที่จำเลยยังมิได้เสนอที่จะชำระราคาที่ดินและกำหนดเวลาให้นางสาวประเสริฐโอนที่ดินนั้นให้ตนแล้ว จะถือว่าหนี้ที่นางสาวประเสริฐจะต้องโอนที่ดินโฉนดที่ ๑๐๗๗ ให้จำเลย ถึงกำหนดชำระยังมิได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share