คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ระเบียบบริษัท ฯ จำเลยว่าด้วยการลาได้กำหนดไว้ว่าพนักงานที่ขาดงานในรอบปีจะได้รับโทษทางวินัยตามลำดับ คือ ขาดงานครั้งแรกจะถูกตัดเงินเดือนร้อยละ 5 ขาดงานครั้งที่ 2 ถูกตัดเงินเดือนร้อยละ 6 ขาดงานครั้งที่ 3 ถ้าได้ขาดงานมาแล้วในครั้งที่ 1 ที่ 2 รวมกับครั้งที่ 3 เกินกว่า 10 วันให้ลงโทษไล่ออกฐานมีพฤติการณ์แสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและข้อบังคับของบริษัท ฯ ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัท ฯ ขาดงาน 3 ครั้ง โดยครั้งแรกขาดงานรวม 7 วัน ครั้งที่ 2ขาดงานรวม 1 วันครั้งที่ 3 ขาดงานรวม 6 วัน โจทก์ขาดงานทั้งสามครั้งรวม 14 วัน ต้องด้วยระเบียบข้อบังคับของบริษัท ฯ การที่บริษัท ฯ ไล่โจทก์ออกจากงาน จึงเป็นการลงโทษที่ถูกต้องตามระเบียบนั้นแล้ว หาจำเป็นต้องลงโทษตามขั้นตอนตั้งแต่การขาดงานครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ก่อนไม่ เพราะการขาดงานในครั้งที่1 และที่ 2 นั้น ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ก็ทำรายงานเพื่อพิจารณาโทษของโจทก์อยู่แล้วซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง ทั้งโจทก์ขาดงานในระยะที่ใกล้เคียงกัน บริษัท ฯ จึงนำการขาดงานทั้งสามครั้งมารวมพิจารณาลงโทษได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่า มีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและข้อบังคับของบริษัท โดยขาดงาน 7 วัน 1 วันและ 6 วัน ตามลำดับซึ่งตามระเบียบของบริษัทฯ จำเลยได้กำหนดการลงโทษไว้ตามลำดับนั้น คือขาดงานครั้งแรกถูกตัดเงินเดือนร้อยละ 5 ครั้งที่สองถูกตัดเงินเดือนร้อยละ 6 หรือ 7 ตามลำดับของจำนวนวันที่ขาด ฉะนั้นก่อนเลิกจ้าง พนักงานผู้นั้นจะต้องเคยถูกลงโทษด้วยการตัดเงินเดือนตามลำดับ ซึ่งเป็นเสมือนการเตือนให้รู้ตัวก่อนการถูกเลิกจ้าง จำเลยลงโทษไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการลาจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำสั่งและรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งอัตราค่าจ้างและสวัสดิการเดิม พร้อมทั้งจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะขาดงานรวม 3 ครั้งระเบียบบริษัทฯ จำเลย ได้กำหนดบทลงโทษให้ไล่ออกจากงานเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิกลับเข้าทำงานหรือได้รับค่าเสียหายแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาโจทก์ยอมรับว่าตามที่จำเลยแถลงเกี่ยวกับรายงานการขาดงานและการพิจารณาโทษเกี่ยวกับตัวโจทก์ และเอกสารต่างๆที่จำเลยส่งศาลนั้นเป็นความจริง แต่จำเลยมิได้ลงโทษโจทก์ตามขั้นตอนที่ปรากฏในระเบียบของจำเลย ศาลแรงงานกลางเห็นว่าตามคำแถลงของจำเลยและคำรับของโจทก์คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าคำสั่งของจำเลยที่ให้ไล่โจทก์ออกจากงานนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกดคีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามระเบียบบริษัทขนส่ง จำกัดว่าด้วยการลา พุทธศักราช 2522 ข้อ 43 กำหนดไว้ว่า ‘พนักงานที่ขาดงานในรอบปีตามข้อ 42 จักต้องได้รับโทษทางวินัย ดังนี้
43.1 ขาดงานครั้งที่ 1 ให้ตัดเงินเดือนร้อยละ 5 ของเงินเดือนคูณด้วยจำนวนวันที่ขาดงาน
43.2 ขาดงานครั้งที่ 2 ให้ตัดเงินเดือนร้อยละ 6 ของเงินเดือนคูณด้วยจำนวนวันที่ขาดงาน
ฯลฯ
43.5 ขาดงานครั้งที่ 3 ถ้าได้ขาดงานมาแล้วในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 รวมกับครั้งที่ 3 แล้วเกินกว่า 10 วันให้ลงโทษไล่ออกฐานมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบ คำสั่ง และข้อบังคับของบริษัทฯ’
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ขาดงาน 3 ครั้ง รวม 7 วัน ครั้งที่2 ขาดงานในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2527 จำนวน 1 วัน และครั้งที่ 3ขาดงานตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2528 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2528 รวม6 วัน รวมสามครั้งโจทก์ขาดงาน 14 วัน กรณีจึงต้องด้วยระเบียบดังกล่าวข้อ 43.5 การที่จำเลยมีคำสั่งให้ไล่โจทก์ออกจากงานจึงเป็นการลงโทษที่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย หาจำเป็นต้องลงโทษตามขั้นตอนตั้งแต่การขาดงานครั้งที่ 1 และครั้ง 2 ก่อนไม่ เพราะการขาดงานครั้งที่ 1 และที่ 2 นั้นผูับังคับบัญชาของโจทก์ก็ได้ทำรายงานเพื่อพิจารณาโทษของโจทก์อยู่แล้ว โดยต้องเสนอไปตามลำดับขั้น ซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง แต่โจทก์ขาดงานแต่ละครั้งในระยะใกล้เคียงกันจำเลยยังไม่ทันมีคำสั่งลงโทษตามขั้นตอนดังกล่าว โจทก์ก็ขาดงานอีกในครั้งที่ 3 จำเลยจึงนำมารวมพิจารณาลงโทษ โดยรวมการขาดงานของโจทก์ทั้งสามครั้งได้
พิพากษายืน.

Share