แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา คำพิพากษาคดีอาญานอกจากจะผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีแล้ว ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญาฟังว่า ข้อความหรือเนื้อหารายละเอียดที่จำเลยที่ 1 ลงพิมพ์โฆษณานั้นเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ข้อเท็จจริง จึงฟังว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นเมื่อคดีฟังว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใส่ความโจทก์หรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด ลำพังการเป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์ฉบับพิพาทให้แก่ประชาชนทั่วไปไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้ร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์
ปัญหาว่าศาลล่างพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วย มาตรา 246 และ 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายวีนัส กรสุรัตน์ เป็นผู้ดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นเจ้าของผู้นำออกจำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวันดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2538 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพิมพ์และโฆษณาในหนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับประจำวันที่ 27 มิถุนายน 2538 ในคอลัมน์หน้าบันเทิง โดยพิมพ์ข้อความเป็นหัวข่าวว่า “จิกจักรวาล ! หึ่ง “ปุ๋ย” โอ.เค. นู้ด ! 5 ล้าน !” และมีใจความในเนื้อข่าวว่า “กระแสคลั่งนู้ดโหมหนักไม่เว้นกระทั่งนางงามจักรวาล “ปุ๋ย” ภรณ์ทิพย์… ปุ๋ยยกตำแหน่งหรูการันตีขูดค่าแก้ผ้า 5 ล้าน… ทางนิตยสาร “มิส” อัลบัมนู้ด… ได้ส่งตัวแทนไปทาบทาม “ปุ๋ย”ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนกนางสาวไทยและนางงามจักรวาลปี 2531 เพื่อมาถ่ายอัลบัมด้วยแต่ปรากฏว่าทาง “ปุ๋ย” เรียกค่าตัวเพื่อการนี้สูงถึง 5 ล้านบาท จึงจะยอมถ่าย… อย่างตอนนี้มิสไปติดต่อปุ๋ยใช่ไหม ปุ๋ย โอเค แต่เงินไม่ถึง ก็คอยดูต่อไปก็แล้วกัน เดี๋ยวเล่มอื่นก็เอาไปถ่ายจนได้ เงินแค่ 5 ล้านบาท ถ้าจะทำกันจริง ๆ ต้องมีคนกล้าเสี่ยงแน่นอน…” ซึ่งเป็นความเท็จ จำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้บุคคลที่สามและประชาชนทั่วไปที่ได้อ่านข้อความในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวเกิดความรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังขาดความเชื่อถือ และเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ประเมินเกียรติยศ คุณสมบัติการกระทำการดำรงชีวิต พื้นฐานครอบครัว วงศ์ตระกูล ของโจทก์ว่า ต่ำสิ้นคิดหมดทางทำมาหากินต้องแก้ผ้าถ่ายรูปหาเงินมาเลี้ยงชีพ ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงความนิยม ภาพลักษณ์ และมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานอาชีพของโจทก์ โดยเฉพาะหน้าที่การงานด้านประชาสัมพันธ์ การถ่ายแบบต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ โจทก์ขอเรียกค่าเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติยศของตนเอง 15,000,000 บาท ต่อชื่อเสียง วงศ์ตระกูล 5,000,000 บาทต่ออาชีพหน้าที่การงาน 10,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 30,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 มิถุนายน 2539)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดและต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว นอกจากจะผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีแล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญาฟังเป็นยุติแล้วว่าข้อความหรือเนื้อหารายละเอียดที่จำเลยที่ 1 ลงพิมพ์โฆษณานั้น เป็นการใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจฎีกาโต้แย้งว่าข้อความหรือเนื้อหารายละเอียดที่ใส่ความโจทก์นั้นเป็นการเสนอข่าวสารหรือส่งข่าวอันจำเลยที่ 1 มิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง ข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เมื่อคดีอาญาฟังเป็นยุติว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ใส่ความโจทก์หรือมีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด ลำพังแต่เพียงได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้จำหน่ายหนังสือพิมพ์ฉบับพิพาทให้แก่ประชาชนทั่วไป จึงไม่เพียงพอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนั้น คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการต่อไปว่า ค่าสินไหมทดแทนที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมานั้นสูงเกินไปหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้รับคัดเลือกให้เป็นนางสาวไทยและนางงามจักรวาล เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติยศของโจทก์ ของวงศ์ตระกูล ตลอดจนอาชีพและหน้าที่การงาน ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าสินไหมทดแทนมานั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์