คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์ร่วมใช้สิทธิเรียกร้องของตนในทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ แต่จำเลยที่ 1 ก็ยังยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา โดยทำสัญญาและจดทะเบียนการให้ภายหลังจากทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกับที่ดินอีกสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ร่วม พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อมิให้โจทก์ร่วมเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 350

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๓๕๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายจรูญ ฬาพานิช ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ , ๘๓ จำคุกคนละ ๖ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ หรือไม่ เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๖๔/๒๕๓๙ ว่า เงินจำนวน ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ร่วมชำระให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาลำนารายณ์ แทนจำเลยที่ ๑ และภริยา เป็นการชำระค่าที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวข้างต้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมตกลงซื้อที่ดินพิพาทกับที่ดินอีกสองแปลงจากจำเลยที่ ๑ และภริยา จึงพิพากษายืนให้จำเลยที่ ๑ และภริยาจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดินทั้งสามแปลงให้โจทก์ร่วม พยานหลักฐานของโจทก์จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ร่วมในเงินจำนวน ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นเงินที่โจทก์ร่วมชำระค่าที่ดินพิพาทกับที่ดินอีกสองแปลงข้างต้น ดังนั้น เมื่อโจทก์ร่วมฟ้องบังคับให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินพิพาทกับที่ดินอีกสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ร่วม จึงเป็นกรณีที่โจทก์ร่วมได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ย่อมทราบดีถึงการใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวของโจทก์ร่วม ส่วนจำเลยที่ ๒ ทราบว่าโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ร่วม และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ กับมารดาของพยานโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ร่วม ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แสดงให้เห็นว่า ทั้งจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์ร่วมใช้สิทธิเรียกร้องของตนในทางศาลให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ แต่จำเลยที่ ๑ ก็ยังยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ โดยเสน่หา โดยทำสัญญาและจดทะเบียนการให้เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๗ ภายหลังจากทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่บังคับจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกับที่ดินอีกสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้โจทก์ร่วม พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นการโอนไปให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เพื่อมิให้โจทก์ร่วมเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งโจทก์ร่วมได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดตามฟ้อง นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น_ _ _
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองอีกสถานหนึ่งคนละ ๔,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ , ๓๐ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒.

Share