คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3254/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สามีโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินที่สามีโจทก์และโจทก์ปลูกอ้อยส่งขายให้แก่สามีจำเลยเมื่อสามีจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยจึงเป็นผู้รับซื้ออ้อยจากสามีโจทก์และโจทก์แทนโจทก์จึงมิได้เป็นผู้เช่า ต้องถือว่าโจทก์อยู่ในที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าของสามีโจทก์แม้จำเลยยอมให้โจทก์และสามีโจทก์อยู่ในที่ดินต่อมาภายหลังจากที่ครบกำหนดเวลาเช่าแล้ว อันจะถือได้ว่าเป็นการทำสัญญาเช่าใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาสิทธิการเช่าก็ยังคงเป็นของสามีโจทก์หากจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่าก็ชอบที่สามีโจทก์จะต้องว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของสามีจำเลย เมื่อสามีโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยจนกระทั่งสามีโจทก์ถึงแก่ความตายโจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้เช่าก็ไม่มีอำนาจเข้าสวมสิทธิการเช่าของสามีโจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่าจากจำเลยได้เพราะสิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าถึงแก่ความตายสัญญาเช่าย่อมเป็นอันระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2528 นายเฉลียว จิวประสาท สามีโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดิน2 แปลง เนื้อที่ 16 ไร่ 1 งาน จากนายศิริหรือเหมียง อยู่บุญ สามีจำเลย เพื่อปลูกอ้อยส่งขายให้แก่นายศิริหรือเหมียง เป็นเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ 30 เมษายน 2528 ถึงวันที่30 เมษายน 2531 ในอัตราค่าเช่าไร่ละ 400 บาท หลังจากครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญา นายเฉลียวและโจทก์ปลูกอ้อยในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยไม่มีการทำหนังสือสัญญาเช่า จึงเป็นการทำสัญญาเช่าที่ดินใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อมาวันที่ 10เมษายน 2535 จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายศิริหรือเหมียงผิดสัญญาเช่าโดยนำที่ดินดังกล่าวไปให้บุคคลอื่นเช่าและผู้เช่านำรถเข้าไถตออ้อยของโจทก์ได้รับความเสียหายทั้งหมด ทำให้โจทก์ไม่สามารถตัดอ้อยได้ต่อไปอีก 2 ปี ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 205,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า สัญญาเช่าที่ดินทำขึ้นระหว่างนายเฉลียวสามีโจทก์และนายศิริหรือเหมียงสามีจำเลย โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และเมื่อครบกำหนดเวลาเช่า ตามสัญญานายเฉลียวมิได้ทำสัญญาเช่าที่ดินต่อและไม่ได้ปลูกอ้อยใหม่เพียงแต่เก็บผลผลิตจากหน่ออ้อยเดิม สัญญาเช่าที่ดินสิ้นสุดลงและไม่เป็นการทำสัญญาเช่าที่ดินใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนด จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายศิริหรือเหมียงมีสิทธิให้นายวัชรชัย เนตรสว่าง ทำสัญญาเช่าที่ดินได้โดยชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2528นายเฉลียว จิวประสาท สามีโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินนายศิริหรือเหมียง อยู่บุญ สามีจำเลย เพื่อปลูกอ้อยส่งขายให้แก่นายศิริหรือเหมียงเป็นเวลา 3 ปี ตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.1 โจทก์และนายเฉลียวได้ปลูกอ้อยและตัดอ้อยส่งขายให้แก่นายศิริหรือเหมียงตลอดมาจนกระทั่งนายศิริหรือเหมียงถึงแก่ความตายในปี 2529 โจทก์และนายเฉลียวจึงตัดอ้อยส่งขายให้แก่จำเลยแทนจนครบกำหนดเวลาเช่า หลังจากนั้นโจทก์และนายเฉลียวยังคงอยู่ในที่ดินเช่าและตัดอ้อยส่งให้แก่จำเลยโดยไม่มีการทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน ต่อมาปี 2535 จำเลยให้นายวัชรชัย เนตรสว่าง ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว และปี 2539 นายเฉลียวถึงแก่ความตาย ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สามีโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินที่สามีโจทก์และโจทก์ปลูกอ้อยส่งขาย ให้แก่สามีจำเลย เมื่อสามีจำเลยถึงแก่ความตายจำเลยจึงเป็นผู้รับซื้ออ้อยจากสามีโจทก์และโจทก์แทน ดังนั้น โจทก์จึงมิได้เป็นคู่สัญญาหรือผู้เช่าที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 ต้องถือว่าโจทก์อยู่ในที่ดินที่เช่าโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าของสามีโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญา แม้จำเลยยอมให้โจทก์และสามีโจทก์อยู่ในที่ดินที่เช่าต่อมาภายหลังจากที่ครบกำหนดเวลาเช่าแล้ว อันจะถือได้ว่าเป็นการทำสัญญาเช่าที่ดินใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาก็ตาม สิทธิการเช่ายังคงเป็นของสามีโจทก์มิใช่ของโจทก์ หากจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่าก็ชอบที่สามีโจทก์ในฐานะผู้เช่าจะต้องว่ากล่าวเอาแก่จำเลยในฐานะที่เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของสามีจำเลยผู้ให้เช่าเอง เมื่อสามีโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยจนกระทั่งสามีโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้เช่าก็ไม่มีอำนาจเข้าสวมสิทธิการเช่าของสามีโจทก์ผู้ตายที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่าจากจำเลยได้ เพราะสิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าถึงแก่ความตายสัญญาเช่าย่อมเป็นอันระงับไป ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า หลังจากครบกำหนดเวลาเช่าโจทก์ได้เป็นผู้เช่าและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าโดยอาศัยสิทธิของโจทก์เองด้วยนั้นเห็นว่าเมื่อโจทก์และจำเลยมิได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน และรายการส่งอ้อยให้แก่จำเลยหลังจากครบกำหนดเวลาเช่าตามเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.7 ออกให้ในนามของสามีโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือระหว่างโจทก์กับจำเลย การส่งอ้อยให้แก่จำเลยดังกล่าวจึงเป็นการกระทำในนามของสามีโจทก์ผู้เช่าไม่ก่อให้เกิดสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่าดังอ้าง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share