คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 713 เป็นเรื่องผู้จำนองจะชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวดๆ ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องไถ่ถอนจำนองบางส่วน ส่วนมาตรา 717 เป็นเรื่องทรัพย์สินที่จำนองแบ่งออกเป็นหลายส่วน แต่จำนองนี้ก็ยังคงครอบไปถึงทรัพย์หมดทุกส่วน
ก. จำนองที่ดินและตึก 5 คูหาไว้กับจำเลยที่ 1 ดังนี้ ทรัพย์ที่จำนองมิได้แบ่งออกเป็นส่วน ที่ดินและตึกที่จำนองเป็นทรัพย์ส่วนเดียวเท่านั้น
ผู้รับจำนองมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมให้ผู้จำนองไถ่ถอนจำนองบางส่วนได้ ถือไม่ได้ว่าผู้รับจำนองกระทำละเมิดต่อโจทก์ซึ่งทำสัญญาจะซื้อทรัพย์จำนองจากผู้รับจำนอง
ก. เป็นลูกหนี้จำนองจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทวงถามแล้ว ก. ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จำเป็นต้องขายที่ดินและตึกที่จำนองไว้ ก. จึงมอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นธุระในการขายโดยกำหนดราคาห้องแต่ละห้องไว้โดยชัดเจน ดังนี้ การมอบหมายมีลักษณะไปในทางที่จะให้จำเลยที่ 1 ควบคุมการซื้อขายทรัพย์จำนอง มากกว่าที่จะให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของ ก. ยังไม่ถนัด
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้รับจำนอง ฟ้อง ก. ผู้จำนองเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์ในธุรกิจการงานของจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาจะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด เมื่อฟ้องแล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน อันเป็นสิทธิตามกฎหมายของจำเลย จะว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ตกลงซื้อทรัพย์ที่จำนองหาได้ไม่
ฎีกาโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 มิได้กล่าวไว้เลยว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดอย่างไร โจทก์กล่าวในฎีกาลอยๆว่า โจทก์ไม่เห็นชอบด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถือว่าโจทก์มิได้ยกข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างตัวแทนจำเลยที่ 1 โจทก์เช่าตึกซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดที่ 2559 จากนายเกศซึ่งจำนองตึกและที่ดินไว้กับจำเลยที่ 1 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2505 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อห้องเลขที่ 193 ที่โจทก์เช่าอยู่ กับห้องเลขที่ 195 ซึ่งอยู่ติดกัน พร้อมที่ดินจากนายเกศ 500,000 บาทจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอม จึงระงับไปนายเกศมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขายตึก 5 คูหาและที่ดินโจทก์ตกลงซื้อห้องเลขที่ 193 ราคา 240,000 บาท โจทก์อาศัยอยู่ในห้องเลขที่ 193ต่อมาโดยไม่เสียค่าเช่า วันที่ 31 กรกฎาคม 2505 จำเลยที่ 1 ฟ้องนายเกศบังคับจำนอง จำเลยที่ 2 เข้าเบิกความเป็นพยานให้จำเลยที่ 1 เป็นความเท็จว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับหรือทำสัญญารับเงินมัดจำจะขายตึกห้องเลขที่ 193 ให้โจทก์ต่อมาจำเลยที่ 1 กับนายเกศยอมความกัน โดยจำเลยที่ 1 ลดหนี้ให้นายเกศและให้นายเกศไถ่ถอนจำนองได้ โจทก์ทราบว่านายสงวนตกลงซื้อที่ดินและตึกแถวทั้ง 5 ห้องจากนายเกศ จึงจ้างทนายความเป็นเงิน30,000 บาท อายัดการไถ่ถอนจำนองและการซื้อขาย โดยโจทก์ยอมเสียค่าเสียหายและค่าเช่าห้องเลขที่ 193 ให้นายเกศเป็นเงิน 38,400 บาท และต้องยอมซื้อห้องจากนายเกศ 2 ห้อง ๆ ละ 250,000 บาท

เนื่องจากการละเมิดของจำเลย โจทก์ขอค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น109,212.50 บาท ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินการขายทรัพย์แทนนายเกศโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ทำความตกลงซื้อขายห้องเลขที่ 193 และที่ดิน ที่จำเลยที่ 2 เบิกความต่อศาลแพ่งเป็นความจริง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายดังฟ้อง ฯลฯ

ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 5,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2

โจทก์กับจำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า มีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ในประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกเอาเหตุการณ์ในตอนแรกที่โจทก์กับนายเกศทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกเลขที่ 193, 195ขึ้นมาเป็นข้อวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้นายเกศแบ่งไถ่ถอนจำนองที่ดินและตึก 2 คูหานั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 713 และ 717 เพราะนายเกศมีสิทธิจะไถ่ถอนจำนองบางส่วนได้ศาลฎีกาไม่เห็นชอบด้วย มาตรา 713 เป็นเรื่องผู้จำนองจะชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวด ๆ ก็ได้ ถ้ามิได้ตกลงเป็นอย่างอื่นในสัญญาจำนอง ไม่ใช่เรื่องไถ่ถอนจำนองบางส่วนส่วนมาตรา 717 ก็เป็นเรื่องทรัพย์สินที่จำนองแบ่งออกเป็นหลายส่วนแต่จำนองก็ยังคงครอบไปถึงทรัพย์หมดทุกส่วน แต่เรื่องนี้ทรัพย์ที่จำนองมิได้แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ที่ดินและตึกที่จำนองเป็นทรัพย์ส่วนเดียวเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 717 อีกเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมให้นายเกศไถ่ถอนจำนองที่ดินและตึกบางส่วนได้ พฤติการณ์ตอนนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์

ข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ปฏิเสธไม่ยอมให้นายเกศไถ่ถอนจำนองบางส่วนแล้วนายเกศได้ทำหนังสือขึ้นฉบับหนึ่งมีความว่า ขอมอบให้ธนาคารนครหลวงไทยจำกัด (จำเลยที่ 1) จัดการขายห้องที่ถนนวรจักร จำนวน 5 ห้อง ตามราคาที่แจ้งไว้ในหนังสือนั้น โจทก์ได้ตกลงซื้อห้องเลขที่ 193 ในราคา 240,000 บาท ได้ชำระราคางวดแรกให้จำเลยที่ 1 หนึ่งแสนบาท และได้ผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ต่อมาจนครบ 240,000 บาท หลังจากโจทก์ชำระเงินงวดแรกให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายเกศ ขอบังคับจำนอง ในที่สุดจำเลยที่ 1 กับนายเกศตกลงประนีประนอมกันโดยจำเลยที่ 1 ยอมลดหนี้จำนองให้นายเกศลงเหลือ 970,000 บาท และยอมให้นายเกศไถ่ถอนจำนองได้ มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้ว จะถือว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 หรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 เป็นธุระในการขายที่ดินและตึกแถวของนายเกศ จะถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของนายเกศดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยังไม่ถนัดเหตุที่จำเลยที่ 1 กระทำเช่นนั้นมีมูลสืบเนื่องมาจากการที่นายเกศเป็นลูกหนี้จำนองจำเลยที่ 1 อยู่ถึงหนึ่งล้านบาทเศษ จำเลยที่ 1 ทวงถามแล้ว นายเกศไม่สามารถชำระหนี้ได้จำเป็นจะต้องขายที่ดินและตึกที่จำนองไว้นายเกศจึงได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยกำหนดราคาห้องแต่ละห้องไว้โดยชัดเจน พิเคราะห์เจตนาของนายเกศและจำเลยที่ 1 ในการนี้ มีลักษณะไปในทางที่จะให้จำเลยที่ 1 ควบคุมการซื้อขายทรัพย์ที่จำนองมากกว่าที่จะให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน เงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยที่ 1 แม้ในใบรับจะระบุไว้ว่าเป็นค่ามัดจำการซื้อที่ดินและตึกแถวก็ตาม แต่การปฏิบัติจำเลยที่ 1 ก็นำเข้าบัญชีฝากพักไว้ต่างหากในนามของโจทก์ (ซัสเพ้นซ์เอ๊คเคานท์) ภายหลังต่อมาเมื่อโจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 ค้ำประกันโจทก์ในการทำทรัสท์รีซีทเพื่อนำสินค้าออกกับธนาคารโตเกียวในวงเงินไม่เกิน 240,000 บาท จำเลยที่ 1 ก็ค้ำประกันให้ แสดงว่าเงิน 240,000 บาทนี้จำเลยที่ 1 ยังถือว่าเป็นเงินของโจทก์อยู่

ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ฟ้องนายเกศต่อศาล จำเลยที่ 1 กระทำไปในฐานะผู้รับจำนอง เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ในธุรกิจการงานของจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาจะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด เมื่อฟ้องแล้วต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายเกศ อันเป็นสิทธิตามกฎหมายของจำเลยเช่นเดียวกัน จะว่าจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดเสียหายแก่โจทก์หาได้ไม่ เงิน 240,000 บาท ที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้เมื่อพ้นกำหนดเวลาค้ำประกันกับธนาคารโตเกียวแล้ว โจทก์มาขอรับคืน จำเลยที่ 1 ก็คืนให้โดยครบถ้วน นอกจากนั้น เมื่อนายเกศไถ่ถอนจำนองไปแล้ว โจทก์ก็ยังไปติดตามซื้อห้องเลขที่ 193 และ 195 ได้ทั้งสองห้องตรงตามเจตนาเดิม ในราคาเท่าเดิมคือ 500,000 บาท การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ดังฟ้อง

สำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต้องกันว่าไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 มิได้กล่าวไว้เลยว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร โจทก์กล่าวในฎีกาลอย ๆ ว่า โจทก์ไม่เห็นชอบด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 เพียงเท่านั้น จึงถือว่าโจทก์มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share