คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9355/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่าที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่4015เป็นของโจทก์จำเลยที่2ขายให้โจทก์แล้วผิดสัญญาไม่โอนให้โจทก์แต่ได้โอนให้จำเลยที่1โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้โอนที่ดินดังกล่าวซึ่งศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและคดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทจึงฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา104ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นดังนั้นเมื่อศาลได้สอบถามและคู่ความได้แถลงยอมรับว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่786/2530ของศาลชั้นต้นและคดีถึงที่สุดแล้วศาลย่อมมีอำนาจสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองได้และมีอำนาจรับฟังสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นต่อศาลและให้คู่ความตรวจพิจารณาก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90ก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2534 โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 4015 ตำบลโตนดด้วน อำเภอขวนขนุน จังหวัดพัทลุงจากจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2527 จำเลยที่ 1 ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแก่โจทก์ ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดิน และต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินโอนที่ดินให้โจทก์แล้ว เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 4015 ตำบลโตนดด้วน อำเภอควนขนุนจังหวัดพัทลุง
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 4015 ตลอดมาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาเป็นบริวาร เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2535โจทก์ได้หลอกลวงเจ้าพนักงานที่ดินให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทฉบับผู้ถือ และจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง และเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 4015 จากชื่อโจทก์ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 หรือบังคับโจทก์โอนให้จำเลยที่ 1 หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามคดีหมายเลขแดงที่ 786/2530 ของศาลชั้นต้น และคดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ 4015 ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้พิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองและให้โอนให้โจทก์ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 786/2530 ของศาลชั้นต้นคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว คู่ความในคดีนี้และคดีก่อนเป็นคู่ความเดียวกัน จึงผูกพันจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 อีกหาได้ไม่ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่าที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 4015 เป็นของโจทก์ จำเลยที่ 2 ขายให้โจทก์แล้วผิดสัญญาไม่โอนให้โจทก์ แต่ได้โอนให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้โอนที่ดินดังกล่าว ซึ่งศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทจึงฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองต่อไปว่าตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 786/2530 ของศาลชั้นต้นศาลไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้เพราะโจทก์ไม่ได้ยื่นต่อศาลและให้คู่ความตรวจพิจารณาก่อน จึงเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสองโดยได้สอบคู่ความทั้งสองฝ่ายไว้แล้วปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 16 มีนาคม 2536 ซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายได้แถลงยอมรับว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 786/2530ของศาลชั้นต้น และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงไม่ต้องระบุอ้างสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานอีก และเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ดังนี้อำนาจในการที่จะวินิจฉัยว่าควรงดสืบพยานได้หรือไม่เพราะคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 786/2530 จำเลยทั้งสองได้ยอมรับไว้ตามที่ศาลชั้นต้นได้สอบถามเพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วถูกต้องและเป็นธรรม อีกทั้งการวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยทั้งสองได้ยอมรับแล้ว จึงเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานได้และการที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบนั้นก็เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาล อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน

Share