คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7114/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากโจทก์และประพฤติผิดสัญญาหรือไม่ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญาเช่าระหว่างบริษัทอ.กับส.สิ้นสุดลงแล้วหรือไม่และผู้ใดเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงของจำเลยอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าแก่โจทก์แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทเป็นการมิชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2533 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่ในอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ชั้นที่ 2 บริเวณราวกันตกด้านทิศเหนือ รวมเนื้อที่ 1.4 ตารางเมตร ซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ จำเลยตกลงเช่าจากโจทก์มีกำหนด 2 ปี ชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน เดือนละ 20,000 บาทเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2534 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2535จำเลยได้ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ตามสัญญาตั้งแต่เริ่มแรกตลอดมาจนถึงเดือนเมษายน 2534 ต่อจากนั้นจำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์อันเป็นการประพฤติผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่เช่า จำเลยรับหนังสือบอกกล่าวแล้วเพิกเฉย สัญญาเช่าเป็นอันเลิกกันตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2534การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดใช้เงินค่าเช่าที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนเมษายน 2534 ถึงวันบอกเลิกการเช่าเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2534 ถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 979 บาทและคิดค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันเลิกสัญญาเช่าถึงวันฟ้องคิดเป็นค่าเสียหาย 60,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช่าที่ค้างจำนวน 100,979 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 60,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากสถานที่เช่าและห้ามจำเลยกับบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในสถานที่เช่าอีกต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 30,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากสถานที่เช่าแล้ว
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่เช่าตามฟ้อง ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่เช่าต่อไปให้จำเลยใช้หนี้จำนวน 140,979 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่เช่า
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าบริษัทเอ็ม บี เค พร็อพเพอร์ตี้สแอนด์ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัดเป็นเจ้าของอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ และบริษัทได้ให้นางสาวสุวภี สีบุญเรือง เช่าพื้นที่บนชั้น 2 ของอาคารเฉพาะด้านทิศเหนือบริเวณตรงราวกันตก มีกำหนดเวลาเช่า 15 ปีนางสาวสุวภีนำพื้นที่ดังกล่าวให้นายสมพงษ์ ชีวะเจริญชัยเช่าช่วงมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 ถึงวันที่31 ธันวาคม 2535 ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.8 นายสมพงษ์แบ่งเนื้อที่ออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้เป็นที่ประกอบกิจการค้าของตนเองส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือพื้นที่พิพาทอยู่ด้านทิศเหนือของราวกันตกความยาว 2 เมตร ลึก 0.70 เมตร รวมเนื้อที่ 1.4 ตารางเมตรให้โจทก์เช่าช่วงมีกำหนดอายุการเช่า 2 ปี ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.9 โจทก์นำพื้นที่พิพาทให้จำเลยเช่ามีกำหนดอายุการเช่า 2 ปี คิดค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 จำเลยเข้าครอบครองพื้นที่พิพาทและชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ทุกเดือนตลอดมา จนกระทั่งตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2534เป็นต้นมาจำเลยไม่ยอมชำระค่าเช่า โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉยจึงบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลย ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าช่วงจากนายสมพงษ์และนายสมพงษ์เช่าช่วงจากนางสาวสุวภี เมื่อสัญญาเช่าระหว่างบริษัทเอ็ม บี เคพร็อพเพอร์ตี้สแอนด์ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด กับนางสาวสุวภีสิ้นสุดลงแล้วโจทก์เป็นเพียงบริวารของนางสาวสุวภี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและฎีกาข้อต่อมาว่า จำเลยไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าผู้ทรงสิทธิเหนือพื้นที่พิพาทคือผู้ใดเพราะทั้งโจทก์และบริษัท เอ็ม บี เค พร็อพเพอร์ตี้สแอนด์ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัดต่างอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิเหนือพื้นที่พิพาท จำเลยจึงนำค่าเช่าแต่ละเดือนไปวางที่สำนักงานทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี โดยมีเงื่อนไขให้สำนักงานวางทรัพย์กลางจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงเมื่อศาลมีคำสั่งเป็นที่สุดว่า โจทก์หรือบริษัทเอ็ม บี เคพร็อพเพอร์ตี้สแอนด์ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด เป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่า จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดต่อโจทก์นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ว่า จำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากโจทก์และประพฤติผิดสัญญาหรือไม่ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญาเช่าระหว่างบริษัทเอ็ม บี เคพร็อพเพอร์ตี้สแอนด์ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด กับนางสาวสุวภีสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ และผู้ใดเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงของจำเลยอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องชำระค่าเช่าแก่โจทก์ แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเพียงข้อเดียวซึ่งจำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท นั้นสูงเกินไป เพราะตามสัญญาเช่าที่พิพาทที่จำเลยทำกับบริษัทเอ็ม บี เคพร็อพเพอร์ตี้สแอนด์ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทตกลงเช่ากันเพียงเดือนละ 5,040 บาท นั้น เห็นว่าตามสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.2 ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์กำหนดค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท และจำเลยได้ชำระค่าเช่าในอัตราดังกล่าวให้แก่โจทก์ตลอดมา ทั้งค่าเช่าที่จำเลยนำไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี จำเลยก็นำไปวางไว้เดือนละ 20,000 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน

Share