คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4762/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ของโจทก์และโจทก์มีสิทธิในตึกแถวพิพาท โดยจำเลยที่ 1 นำสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวพิพาทไปให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้การที่จำเลยที่ 3 ได้ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 แล้วได้ไปทำการจดทะเบียนยกเลิกสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ 3 เช่าช่วงโดยจำเลยที่ 4 ให้ความยินยอมนั้น พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำไปทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์มีสิทธิเพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยทั้งสี่กระทำลงไปนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของตึกแถวสองชั้นครึ่ง เลขที่ ๖/๑ถนนรณกิจ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวดังกล่าวจากจำเลยที่ ๔ มีกำหนด ๒๐ ปี โดยจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาวันที่ ๒๖ มกราคม๒๕๒๐ จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือสัญญาให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงตึกแถวดังกล่าว มีกำหนด ๑๘ ปี๑๐ เดือน โดยจำเลยที่ ๔ ได้ให้ความยินยอม ได้ไปจดทะเบียนการเช่าช่วงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หลังจากทำสัญญาเช่าช่วงแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้เข้าครอบครองตึกแถวดังกล่าวตลอดมา โดยจำเลยที่ ๒ มิได้เกี่ยวข้องในตึกแถวดังกล่าวอีก เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ สาขาหล่มสัก วงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และต่อมาได้ลดวงเงินลงเหลือ ๑๕๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญามอบสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อยึดถือไว้เป็นหลักประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๔ ในฐานะเจ้าของและผู้ให้เช่าตึกแถวดังกล่าวได้ทำหนังสือยินยอมมอบสิทธิการเช่าดังกล่าวให้แก่โจทก์ด้วย จำเลยที่ ๑ ได้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์แล้วผิดสัญญาต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน๒๑๙,๖๙๖.๐๘ บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย คดีถึงที่สุดแล้ว ในขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำการฉ้อฉลโจทก์ กล่าวคือ เมื่อวันที่๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันยื่นคำร้องขอเลิกสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ต่อนายอำเภอหล่มสัก ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้จดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๔ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นได้ เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม๒๕๒๗ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดสิทธิการเช่าช่วงของจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงทราบว่าจำเลยที่ ๑ ได้เลิกสิทธิการเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ได้โอนสิทธิการเช่าช่วงให้จำเลยที่ ๓ แล้ว ขอศาลพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ผู้ให้เช่าช่วงกับจำเลยที่ ๓ ผู้เช่าช่วง และเพิกถอนหนังสือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทเลิกเช่าช่วงตึกแถวระหว่างจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าช่วงกับจำเลยที่ ๒ผู้ให้เช่าช่วง กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจัดการโอนสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวดังกล่าวนี้กลับมาเป็นของจำเลยที่ ๑ ตามเดิม
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ได้เช่าตึกแถวพิพาทจากจำเลยที่ ๔และจำเลยที่ ๒ ได้ให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงตึกแถวพิพาทจริง ต่อมาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ ๓ ต้องการที่จะโอนสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ เพื่อชำระหนี้จำเลยที่ ๒ จึงเลิกสัญญาเช่าช่วงกับจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทกับจำเลยที่ ๓ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๔ ด้วยความสุจริต จำเลยที่ ๒ ไม่เคยทราบเรื่องความผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มาก่อน และไม่เคยทราบว่าโจทก์ฟ้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้กู้ยืมเงินจำเลยที่ ๓ จำนวน๑๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ได้มอบสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นประกันหนี้ และได้ทำสัญญาให้จำเลยที่ ๓ เช่าช่วงตึกแถวพิพาท มีกำหนด ๓ ปี อีกด้วย จำเลยที่ ๓ ได้ครอบครองตึกแถวพิพาทตลอดมา ต่อมาจำเลยที่ ๑ผิดนัด ไม่ชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ จึงตกลงจดทะเบียนเลิกสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทกับจำเลยที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๒ ซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ ๓ เช่าช่วงตึกแถวพิพาทโดยตรง การที่จำเลยที่ ๑ มอบสิทธิการเช่าช่วงให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกันหนี้นั้น หาทำให้โจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ ๓ ไม่ จำเลยที่ ๓ กระทำไปโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๔ เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทเลขที่ ๖/๑ถนนรณกิจ ได้ให้จำเลยที่ ๒ เช่าตึกแถวพิพาทมีกำหนด ๒๐ ปี และได้ยินยอมให้จำเลยที่ ๑เช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลยที่ ๒ กับยินยอมให้จำเลยที่ ๑ มอบสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทไว้เป็นประกันหนี้โจทก์จริง ต่อมาจำเลยที่ ๔ ได้รับแจ้งจากโจทก์ว่า จำเลยที่ ๓ จะรับโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทจากจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๓ จะชำระหนี้ซึ่งจำเลยที่ ๑มีต่อโจทก์ให้แก่โจทก์ โจทก์ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๔ ไปลงชื่อให้ความยินยอมให้จำเลยที่ ๓ เช่าช่วงตึกแถวพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการเช่าช่วงตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วง กับจำเลยที่ ๓ ผู้เช่าช่วง และให้เพิกถอนหนังสือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทเลิกเช่าช่วงตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าช่วง กับจำเลยที่ ๒ ผู้ให้เช่าช่วง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ ๔เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาท เลขที่ ๖/๑ ถนนรณกิจ ตำบลหล่มสัก อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๔ ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ ๒ เช่า มีกำหนด ๒๐ ปี ต่อมาวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๒ ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ ๑ เช่าช่วงตึกแถวพิพาทมีกำหนด๑๘ ปี ๑๐ เดือน โดยจำเลยที่ ๔ ให้ความยินยอม เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ได้ทำหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ต่อมาวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญามอบสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๔ ให้ความยินยอม จำเลยที่ ๑ ได้เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์แล้วผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจากจำเลยที่ ๑ ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน๒๑๙,๖๙๖.๐๘ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๖๘/๒๕๒๖ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ไปจดทะเบียนเลิกสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาท ต่อมาวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๒ ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ ๓เช่าช่วงตึกแถวพิพาทมีกำหนด ๑๒ ปี ๔ เดือน โดยจำเลยที่ ๔ ให้ความยินยอม
ข้อที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ มีสิทธิจดทะเบียนเลิกสัญญาเช่าช่วง และจำเลยที่ ๒ มีสิทธิจดทะเบียนให้จำเลยที่ ๓ เช่าช่วงตึกแถวพิพาท จำเลยทั้งสี่จึงไม่ได้กระทำการฉ้อฉลโจทก์นั้น ในข้อนี้จำเลยที่ ๓ เบิกความว่า เมื่อจำเลยที่ ๓ เข้าไปอยู่อาศัยในตึกแถวพิพาทได้ประมาณ ๒๐ วัน พนักงานของโจทก์ได้มาแจ้งว่าโจทก์มีสิทธิในตึกแถวพิพาทจำเลยที่ ๓ จึงไปติดต่อกับโจทก์ โจทก์ตกลงจะโอนสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยจำเลยที่ ๓ จะต้องให้เงินแก่โจทก์จำนวน ๒๒๐,๐๐๐ บาท ครั้นถึงวันนัดจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าช่วง พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งเหตุขัดข้อง พนักงานของโจทก์บอกจำเลยที่ ๓ ว่าเมื่อเหตุขัดข้องสิ้นไปแล้วจะแจ้งให้จำเลยที่ ๓ ทราบ ต่อมาได้นัดโอนสิทธิการเช่าช่วงอีกครั้งหนึ่งถึงวันนัดโจทก์ไม่ไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่บอกจำเลยที่ ๓ ว่าไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าช่วงได้ จำเลยที่ ๓ จึงติดต่อให้จำเลยที่ ๑ รีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วจำเลยที่ ๑ ได้ติดต่อกับจำเลยที่ ๒ และจัดการจดทะเบียนยกเลิกสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ ๓ เช่าช่วงตึกแถวพิพาทโดยจำเลยที่ ๔ ให้ความยินยอม พิเคราะห์คำเบิกความของจำเลยที่ ๓ ดังกล่าวแล้ว เห็นว่าจำเลยที่ ๓ รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้ของโจทก์ และโจทก์มีสิทธิในตึกแถวพิพาท โดยจำเลยที่ ๑ นำสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวพิพาทไปให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ การที่จำเลยที่ ๓ได้ไปติดต่อกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ แล้วได้ไปทำการจดทะเบียนยกเลิกสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ ๓ เช่าช่วง โดยจำเลยที่ ๔ ให้ความยินยอม พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยทั้งสี่กระทำไปทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ เสียเปรียบการกระทำของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยทั้งสี่กระทำลงไปนั้นได้
พิพากษายืน.

Share