คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นแล้วเช่นนี้ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 โจทก์ไม่มีสิทธิ์ที่จะฎีกาต่อไปได้อีก การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ จึงไม่เป็นการถูกต้อง ศาลฎีการับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัยไม่ได้
ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างใดในชั้นอุทธรณ์และคู่ความประสงค์ที่จะโต้แย้งคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นต่อศาลฎีกา ก็ชอบที่จะต้องยื่นฎีกามาในรูปของคำฟ้องฎีกา และต้องเสียค่าธรรมเนียมค่ารับคำฟ้อง ค่าขึ้นศาล และค่าตัดสินมาด้วย สำหรับคดีนี้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเป็นค่าคำร้องเพียง 20 บาท ยังขาดอยู่และเมื่อศาลฎีการับฟ้องฎีกาของโจทก์ไม่ได้แล้ว ก็ชอบที่จะต้องสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์ นอกจากค่ารับคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 แต่โดยเหตุที่ค่าธรรมเนียม ค่ารับฟ้องฎีกามีจำนวนเงินเท่ากับค่าคำร้องที่โจทก์เสียมาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องคืนค่าธรรมเนียมหรือเรียกค่าธรรมเนียมเพิ่มจากโจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ หรือ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๐๕ จำเลยซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ได้บังอาจกระทำการในตำแหน่งหน้าที่ แกล้งจับโจทก์ที่ ๒ ในข้อหาบุกรุกและลักทรัพย์แล้วนำตัวโจทก์ที่ ๒ ไปควบคุมไว้ ๖ ชั่วโมง ในขณะที่ควบคุมตัวโจทก์ที่ ๒ อยู่ จำเลยได้ขู่เข็ญข่มขืนโจทก์ที่ ๒ ว่า ให้โจทก์ทั้งสองมอบที่ดินที่พิพาทกับจำเลยให้จำเลยภายใน ๑๕ วัน ถ้าไม่ยอมจะเปิดเผยความลับทั้งหมดให้พนักงานสอบสวนทราบ แล้วโจทก์ที่ ๒ จะถูกส่งตัวเข้าคุก หรือมิฉะนั้นโจทก์ทั้งสองอาจถึงตายได้ ทั้งนี้ โดยจำเลยจงใจที่จะแกล้งโจทก์ที่ ๒ ให้ต้องรับโทษทางอาญา และโจทก์ทั้งสองอาจเกิดอันตรายแก่ชีวิต โจทก์ทั้งสองจึงตกลงยอมมอบที่ดินที่พิพาทให้จำเลยเป็นผู้ถือสิทธิ์ครอบครอง และเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทไปแล้ว ต่อมาเมื่อกลางปี ๒๕๑๘ โจทก์จึงรู้ว่าจำเลยได้โอนที่พิพาทแปลงหมายเลข ๑ (ในบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง) ให้แก่นายล๊ะ แล้วนายล๊ะโอนขายต่อให้นายเฉ็ม ที่พิพาทแปลงหมายเลข ๒ จำเลยโอนขายให้นางฉ๊ะ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๐, ๓๐๙, ๓๑๐, ๓๓๗, ๓๓๘ และมาตรา ๑๔๘, ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๔, ๑๓ และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ และขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนตั๋วทุ่งหรือใบเหยียบย่ำที่ดินเกี่ยวด้วยที่ดินที่พิพาทและเอกสารจดรายการยืมเงิน ๑ เล่มให้โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยคืนที่ดินที่พิพาทให้โจทก์ทั้งสอง ถ้าจำเลยคืนไม่ได้ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท โดยหักเงินยืมซึ่งโจทก์ที่ ๑ เป็นหนี้จำเลยอยู่ ๖๐๐ บาท หากจำเลยไม่ยอมโอนหรือโอนให้แก่โจทก์ไม่ได้ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีส่วนอาญาของโจทก์มีมูลเฉพาะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๐, ๓๓๘, ๑๔๘ และ ๑๕๗ ให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาเฉพาะกระทงที่มีมูล รวมทั้งคดีส่วนแพ่งด้วย
ต่อมาก่อนจำเลยยื่นคำให้การแก้คดี โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนายเฉ็ม นายฝาด และนางย๊ะเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๓)
นายเฉ็ม และนายฝาดยื่นคำร้องคัดค้านการเข้ามาในคดีนี้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญา แม้จะมีคำขอทางแพ่งเข้ามาด้วยก็ไม่ใช่คดีแพ่งโดยแท้ ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้อำนาจโจทก์ร้องขอให้เรียกผู้อื่นเข้ามาเป็นจำเลยเฉพาะส่วนแพ่งเช่นนี้ได้ ทั้งจะทำให้การพิจารณายุ่งยาก จึงให้ยกคำร้องของโจทก์เสีย คงให้ดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งที่สั่งรับไว้แล้วต่อไป
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ขอให้เรียกบุคคลทั้งสามตามคำร้องของโจทก์เข้ามาร่วมเป็นจำเลยด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ ไม่รับเป็นอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ขอให้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ตามมาตรา ๑๘ วรรคท้าย และไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา ๒๒๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖(๑) ให้ยกคำร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องฎีกาคำสั่ง โดยเสียค่าธรรมเนียมเป็นค่าคำร้อง ๒๐ บาท ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาคำสั่ง
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นแล้วเช่นนี้ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๖ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ที่จะฎีกาต่อไปได้อีก การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ขึ้นมาเช่นนี้ จึงไม่เป็นการถูกต้อง ส่วนในเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างใดในชั้นอุทธรณ์และคู่ความประสงค์ที่จะโต้แย้งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นต่อศาลฎีกา ก็ชอบที่จะต้องยื่นฎีกามาในรูปของคำฟ้องฎีกา และต้องเสียค่าธรรมเนียมค่ารับคำฟ้อง ค่าขึ้นศาลและค่าตัดสินมาด้วย สำหรับคดีนี้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเป็นค่าคำร้องมาเพียง ๒๐ บาทเท่านั้น ยังขาดอยู่ และเมื่อศาลฎีการับฟ้องฎีกาของโจทก์ไม่ได้เสียแล้ว ก็ชอบที่จะต้องสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์เสีย นอกจากค่ารับคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๑ แต่โดยเหตุที่ค่าธรรมเนียม ค่ารับฟ้องฎีกามีจำนวนเงินเท่ากับค่าคำร้องที่โจทก์เสียมาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องคืนค่าธรรมเนียมหรือเรียกค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากโจทก์อีก ศาลฎีการับฟ้องฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัยไม่ได้
จึงให้ยกฎีกาโจทก์เสีย.

Share