คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แม้พยานโจทก์ทั้งสามจะอ้างว่ารู้จักจำเลยมาก่อนเป็นเวลานานและจำเลยเป็นคน หมู่บ้านเดียวกัน แต่การที่ ส. มองลอดผ่านช่องลมออกไปแล้วเห็นและจำได้ว่าเป็นจำเลยนั้นยังน่าสงสัย เพราะลักษณะของ ช่องลมเป็นอิฐบล็อกมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่ก้อนละ 4 ช่อง ประมาณ 10 ก้อน ประกอบกับการนั่งอยู่ตามตำแหน่งที่ ส. เบิกความนั้น สายตาจะมองเห็นได้โดยจำกัดมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลากลางคืน แม้ใต้ถุนบ้านผู้เสียหายซึ่งอยู่ ข้าง ๆ บ้านหลังที่ ส.ลุกออกมานั่งจะมีไฟฟ้าเปิดอยู่ก็ตามก็ไม่น่าเชื่อว่าแสงสว่างจากไฟฟ้าใต้ถุนบ้านดังกล่าวจะส่องถึง อย่างชัดเจนจนสามารถทำให้ ส. ซึ่งต้องมองลอดช่องลมออกมาเห็นได้ชัดว่าคนร้ายเป็นจำเลย ยิ่งกว่านั้นรอยงัดแงะของ คนร้ายอยู่ที่ประตูหลังบ้าน แต่พยานโจทก์ทั้งสามรู้ตัวตั้งแต่ เสียงสุนัขเห่า การที่ ส.เห็นจำเลยเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้านเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้เสียหายเปิดประตูออกจากบ้านแยกกัน เดินดูเหตุการณ์กับ ง. จำเลยจะมีเวลาที่ไหนไปงัดแงะประตูได้ทัน การที่ผู้เสียหายอ้างว่า ง. ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายให้ผู้เสียหายทราบก็แตกต่างกับคำเบิกความของ ง.เพราะง. เบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายถามว่าจำชายที่วิ่งมาหาได้หรือไม่ ง.ตอบว่าจำได้ เป็นคนบ้านเดียวกัน เห็นกันทุกวันแต่มิได้ ระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นจำเลย คำเบิกความที่ไม่ลงรอยกันเช่นนี้ทำให้ไม่อาจรับฟังเป็นความจริงไปทางใดทางหนึ่งได้จึงมีพิรุธอยู่ ส่วน ท. อ้างว่าคืนเกิดเหตุได้เดินกลับจากหาปลาขณะเดินมาอีก 10 เมตร จะถึงบ้านผู้เสียหายได้ยินเสียง ร้องว่า คน คน คน แล้วเห็นจำเลยวิ่งสวนพยานไปนั้น แต่เมื่อ ท. เดินผ่านบ้านผู้เสียหายเห็นคนชุมนุมกันอยู่ ผู้เสียหายบอกว่ามีคนงัดบ้าน แต่ ท. ก็ไม่สนใจฟังว่าใครเป็นคนงัดคำเบิกความของ ท. จึงขัดต่อเหตุผล รับฟังไม่ได้เพราะผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้าน ท. เป็นลูกบ้านซึ่งสนใจเหตุการณ์ถึงกับย้อนกลับมาฟังว่าชุมนุมกันเรื่องอะไรหาก ท.รู้เห็นจริงมีหรือที่จะไม่เล่าเรื่องเห็นจำเลยให้ผู้เสียหายฟัง ส่วนพนักงานสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 335
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(8) วรรคสาม ประกอบมาตรา 80 จำคุก 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้องมีคนร้ายงัดแงะบ้านของนายขันธ์ เว้นบาปผู้เสียหาย มีปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพยานคือผู้เสียหายนางสงัด เว้นบาป นางสมนึก เว้นบาป นายทองสาย ศรีเนตร ซึ่งอ้างว่าเห็นจำเลยในคืนเกิดเหตุ ได้ความตรงกันจากคำเบิกความของผู้เสียหายนางสงัดและนางสมนึกว่า เวลาประมาณ 2 นาฬิกาพยานทั้งสามต้องตื่นขึ้นเพราะมีเสียงสุนัขข้างบ้านเห่าผิดปกติ โดยนางสมนึกได้อุ้มบุตรมานั่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นหน้าบ้านซึ่งอยู่ติดผนังชั้นล่างของบ้านมีช่องลมอยู่ข้างบันได สักครู่หนึ่งได้มองลอดช่องลมออกไปก็เห็นจำเลยเดินเร็ว ๆ เข้ามาในบริเวณบ้านจากทางหน้าบ้านไปหลังบ้าน ขณะนั้นเองผู้เสียหายผู้เป็นบิดาได้เปิดประตูออกไปสักครู่หนึ่งพยานได้ยินเสียงนางสงัดมารดาร้องว่า คนคนมาทางนี้แล้ว พยานจึงลงมาหาถามว่าเห็นใคร นางสงัดบอกว่า เห็นจำเลยเดินเข้ามา ส่วนผู้เสียหายนั้นไม่เห็นจำเลยแต่เบิกความว่า นั่งฟังสุนัขเห่าอยู่ประมาณ 30 นาที สุนัขยังไม่หยุดเห่าผู้เสียหายกับนางสงัดจึงเดินออกจากบ้านไปดูโดยผู้เสียหายเดินไปทางซ้าย ส่วนนางสงัดเดินไปทางขวา ผู้เสียหายฉายไฟดูเล้าไก่เล้าหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 80 เมตร ไม่เห็นอะไรแต่ได้ยินเสียงคล้ายคนวิ่งอ้อมไปทางหลังบ้านซึ่งมีเล้าไก่อีกเล้าหนึ่งอยู่ทางทิศที่นางสงัดเดินไป แล้วได้ยินเสียงนางสงัดร้องว่าคนมาทางนี้แล้วผู้เสียหายจึงวิ่งย้อนกลับมาทางเดิม ถามนางสงัดว่า จำหน้าคนร้ายได้หรือไม่ นางสงัดบอกว่าจำได้เป็นคนบ้านเดียวกัน คือนายสมนึก ชนะโชติ(จำเลย) ส่วนนางสงัดเบิกความว่าพยานแยกเดินไปทางขวาของบ้านไปหยุดยืนข้างเล้าไก่ ขณะที่ยืนอยู่จำเลยได้วิ่งมาหาพยานพยานจึงร้องตะโกนขึ้นว่าคนมาทางนี้แล้ว จำเลยจึงวิ่งไปทางหน้าบ้านและกระโดดข้ามรั้วหนีไป สักครู่หนึ่งผู้เสียหายวิ่งมาหาถามว่าจำคนที่วิ่งมาหาได้หรือไม่ พยานตอบว่าจำได้เป็นคนบ้านเดียวกัน เห็นหน้ากันทุกวัน คำเบิกความพยานโจทก์เป็นเช่นนี้เห็นว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แม้พยานโจทก์ทั้งสามจะอ้างว่ารู้จักจำเลยมาก่อนเป็นเวลานานแล้ว และจำเลยเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน แต่หากฟังตามคำเบิกความของนางสมนึกจะเห็นได้ว่า การมองลอดผ่านช่องลมออกไปแล้วเห็นและจำได้ว่าเป็นจำเลยนั้นน่าสงสัยอยู่ เพราะนางสมนึกเบิกความว่าลักษณะของช่องลมเป็นอิฐบล็อกมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่ก้อนละ 4 ช่องประมาณ 10 ก้อน และเมื่อพิจารณาลักษณะของอิฐบล็อกตามภาพถ่ายแสดงที่เกิดเหตุหมาย จ.4 ประกอบ จะเห็นได้ว่าการนั่งอยู่ตามตำแหน่งที่นางสมนึกเบิกความนั้น สายตาจะมอง เห็นได้โดยจำกัดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลากลางคืน แม้ใต้ถุนบ้านผู้เสียหายซึ่งอยู่ข้าง ๆ บ้านหลังที่พยานลุกออกมานั่งอยู่จะมีไฟฟ้าเปิดอยู่ก็ตาม ก็ไม่น่าเชื่อว่าแสงสว่างจากไฟฟ้าใต้ถุนบ้านดังกล่าวจะส่องถึงอย่างชัดเจนจนสามารถทำให้นางสมนึกซึ่งต้องมองลอดช่องลมออกมาเห็นได้ชัดว่าคนร้ายเป็นจำเลยยิ่งกว่านั้นรอยงัดแงะของคนร้ายอยู่ที่ประตูหลังบ้าน แต่พยานโจทก์ทั้งสามปากรู้ตัวตั้งแต่มีเสียงสุนัขเห่า การที่นางสมนึกเห็นจำเลยเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้านนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่ผู้เสียหายเปิดประตูออกจากบ้านแยกกันเดินดูเหตุการณ์กับนางสงัด จำเลยจะมีเวลาที่ไหนไปงัดแงะประตูได้ทัน การที่ผู้เสียหายอ้างว่านางสงัดระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายให้ผู้เสียหายทราบก็แตกต่างกับคำเบิกความของนางสงัดเพราะนางสงัดเบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายถามว่าจำชายคนที่วิ่งมาหาได้หรือไม่ นางสงัดตอบว่าจำได้เป็นคนบ้านเดียวกันเห็นกันทุกวัน ไม่ปรากฏว่านางสงัดได้ระบุเจาะจงลงไปว่าเป็นจำเลย คำเบิกความของผู้เสียหายและนางสงัดที่ไม่ลงรอยกันเช่นนี้ ทำให้ไม่อาจรับฟังเป็นความจริงไปทางใดทางหนึ่งได้จะฟังดังผู้เสียหายเบิกความก็แตกต่างกับคำเบิกความของนางสงัดครั้นจะฟังดังคำเบิกความของนางสงัด นอกจากจะแตกต่างจากคำเบิกความของผู้เสียหายแล้วก็ยังชวนให้ฉงนว่าเหตุใดไม่ระบุเสียเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายในเมื่อรู้จักดีอยู่แล้ว คำเบิกความของผู้เสียหายและนางสงัดในเรื่องนี้จึงมีพิรุธอยู่ รับฟังไม่ได้ ส่วนนายทองสายพยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งอ้างว่าคืนเกิดเหตุพยานเดินกลับจากหาปลาขณะเดินมาได้อีก 10 เมตรจะถึงบ้านผู้เสียหายได้ยินเสียงร้องว่า คน คน คน แล้วเห็นจำเลยวิ่งสวนพยานไปนั้น พยานได้เบิกความต่อไปว่า เมื่อพยานเดินผ่านบ้านผู้เสียหายเห็นมีคนชุมนุมกันอยู่ พยานจึงเอาของไปเก็บที่บ้านแล้วกลับมาคุยกับผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกว่ามีคนงัดบ้าน แต่พยานก็ไม่สนใจฟังว่าใครเป็นคนงัด คำเบิกความดังกล่าวของพยานขัดต่อเหตุผล รับฟังไม่ได้เพราะผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้าน พยานเป็นลูกบ้านสนใจเหตุการณ์ถึงกับย้อนกลับมาฟังว่าชุมนุมกันเรื่องอะไร หากพยานรู้เห็นจริงมีหรือที่จะไม่เล่าเรื่องเห็นจำเลยให้ผู้เสียหายฟัง สำหรับพนักงานสอบสวนนั้นเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่รู้เห็นเหตุการณ์โจทก์คงมีนายอำคา คำกอง อีกปากหนึ่งที่อ้างว่าคืนเกิดเหตุพยานขับรถจักรยานยนต์กลับมาจากเยี่ยมหลานซึ่งป่วย เมื่อมาถึงถนนรอบหมู่บ้านห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 เส้น เห็นจำเลยวิ่งผ่านหน้ารถไปแต่พยานก็ไม่ได้สนใจอะไร คงขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านเท่านั้นไม่ช่วยทำให้รูปคดีของโจทก์ดีขึ้นแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share