แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยเพื่อทำคำให้การแก้คดีแล้ว จำเลยโดย ป. ผู้รับมอบอำนาจได้แต่งตั้งให้ ส.เป็นทนายความของจำเลย ส. ยื่นคำให้การของจำเลยและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยต่อมาจนเสร็จคดีแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มอบอำนาจให้ ป. ดำเนินคดีแทนดังนั้น การที่ บ. เข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยก็ดี แต่งตั้งให้ ส. เป็นทนายจำเลยก็ดี และการที่ ส.ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยต่อมาจนเสร็จคดีก็ดี จึงเป็นการกระทำของบุคคลภายนอกที่ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทน จำเลย การดำเนินกระบวนพิจารณาของบุคคลดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ผูกพันจำเลย
กรณีดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง เมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยและให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบนั้นได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกันอันเป็นหนี้ร่วม ก็สมควรให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างตลอดไปถึงจำเลยอื่นด้วย (วรรคสองอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 345/2520)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาจะจ่ายเงินแก่โจทก์เมื่อทวงถาม จำเลยที่ 2 ที่ 3 ลงชื่อในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1เป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และในฐานะส่วนตัวเป็นผู้รับอาวัล โจทก์ทวงถามให้ใช้เงินแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินตามตั๋วและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ต่อมาศาลได้จำหน่ายคดีเพราะถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
จำเลยที่ 2 โดยนางบังอร ผู้รับมอบอำนาจให้การต่อสู้หลายประการว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้หลายประการว่าไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้องเช่นกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ในกรณีที่โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยที่ 1 หรือได้รับชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ร่วมกันชำระแทนหรือชำระจนครบแล้วแต่กรณี
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าศาลชั้นต้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 2 ทำคำให้การแก้คดีโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2520ซึ่งจะครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2520 ในวันที่ 8พฤศจิกายน 2520 จำเลยที่ 2 โดยนางบังอร วรรณึกกุล ผู้รับมอบอำนาจได้แต่งตั้งให้นายสุรพันธ์ ทิมกระจ่างเป็นทนายความของจำเลยที่ 2 โดยนางบังอร วรรณึกกุล ลงชื่อเป็นผู้แต่งทนายความนายสุรพันธ์ ทิมกระจ่างได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีแทนจำเลยที่ 2 ในวันเดียวกันนั้น และได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จคดี แต่ไม่ปรากฏว่านายวีระชัย วรรณึกกุลจำเลยที่ 2 ได้มอบอำนาจให้นางบังอร วรรณึกกุล ดำเนินคดีแทน ดังนั้นการที่นางบังอร วรรณึกกุลเข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 2 ก็ดี แต่งตั้งให้นายสุรพันธ์ ทิมกระจ่าง เป็นทนายจำเลยที่ 2 ก็ดี และการที่นายสุรพันธ์ทิมกระจ่าง ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 ต่อมาจนเสร็จคดีก็ดีจึงเป็นการกระทำของบุคคลภายนอกที่ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 การดำเนินกระบวนพิจารณาของบุคคลดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างเมื่อความปรากฏแก่ศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 345/2520 ระหว่างนางกิมฮวง แซ่ตั้ง โจทก์นางสาลี่ ยอดใจ จำเลย โดยที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกโจทก์ฟ้องให้รับผิดร่วมกันอันเป็นหนี้ร่วมจึงเห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองตลอดไปถึงจำเลยที่ 3
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 โดยไม่รับใบแต่งทนายความและคำให้การของจำเลยที่ 2 ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ทั้งหมดตั้งแต่วันพ้นกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 2จะต้องยื่นคำให้การ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง เสร็จแล้วให้พิพากษาใหม่ตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ตามรูปคดี