คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เลิกห้างจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินฝากในธนาคารของจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนพิพากษาตามคำร้องของโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการอายัดดังกล่าวศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเงินก่อนพิพากษาโดยคิดตามอัตราส่วนการลงหุ้นระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 โดยแบ่งเป็น9 ส่วน และให้เพิกถอนเพียง 4 ส่วนใน 9 ส่วน เป็นเงิน 26,492,000 บาทเพื่อให้จำเลยที่ 2 มีโอกาสใช้เงินหมุนเวียนดำเนินกิจการของห้างจำเลยที่ 1ต่อไปได้ แม้ตามคำร้องของจำเลยที่ 2 จะแสดงรายละเอียดว่าเงินที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด 4 ส่วนนั้น เป็นเงิน 48,496,745.08 บาทก็ตามแต่เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเพียง 26,492,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2มิได้โต้แย้งในยอดเงินดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 2 เห็นด้วยกับจำนวนเงินที่ศาลสั่งให้เพิกถอนการอายัดนั้นว่าเพียงพอที่จะนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถอนเงินเกินกว่าจำนวนที่ศาลสั่งได้แม้ส่วนที่เกินจะเป็นเงินดอกเบี้ยของเงินฝากที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดก็ตาม แต่เงินดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและจะเป็นประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 2 เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เลิกห้างและมีการชำระบัญชีต่อไป จำเลยที่ 2 จึงต้องนำเงินส่วนที่ถอนจากธนาคารเกินไปมาคืน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เลิกห้างฯจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินฝากในธนาคารของจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนพิพากษาตามคำร้องของโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการอายัดดังกล่าว ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด4 ส่วนใน 9 ส่วนของเงินที่อายัดทั้งหมดรวมด้วยยอดเงิน 22,000,000 บาทโจทก์ทั้งสามอุทธรณ์และฎีกา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการอายัดเงินจากธนาคาร ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเงินตามบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาสามแยก 2 บัญชี ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาหัวลำโพง 1 บัญชี และธนาคารมหานคร จำกัด สาขาตลาดน้อย1 บัญชี รวมเป็นเงิน 26,490,350.93 บาท ตามคำร้องของจำเลยที่ 2

โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 16 ตุลาคม 2540 ว่า จำเลยที่ 2ได้ถอนเงินต้นรวมทั้งดอกเบี้ยไปจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาสามแยกบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 0462057482 และจากธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาหัวลำโพง บัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 1392161392 รวม 2 บัญชีเป็นจำนวนเงินเกินกว่าจำนวนเงินที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด ขอให้เรียกจำเลยที่ 2 และสมุห์บัญชีธนาคารทั้งสองดังกล่าวมาสอบถาม หากจำเลยที่ 2 ถอนเงินไปเกินกว่าจำนวนเงินที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดขอให้สั่งให้จำเลยที่ 2 นำเงินส่วนที่ถอนจากธนาคารเกินไปมาคืนต่อศาล

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ดอกเบี้ยของเงินฝากในบัญชีที่จำเลยที่ 2 ถอนเงินไปเป็นดอกผล เมื่อศาลสั่งเพิกถอนการอายัดเงินฝากในบัญชีดังกล่าวแล้วจำเลยที่ 2 เจ้าของเงินฝากในบัญชีดังกล่าวจึงมีสิทธิถอนเงินฝากกับดอกเบี้ยได้ยกคำร้อง

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดเงินก่อนพิพากษาโดยคิดตามอัตราส่วนการลงหุ้นระหว่างโจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 2โดยแบ่งเป็น 9 ส่วน และให้เพิกถอนเพียง 4 ส่วนใน 9 ส่วน เพื่อให้จำเลยที่ 2มีโอกาสใช้เงินหมุนเวียนดำเนินกิจการของห้างฯ จำเลยที่ 1 ต่อไปนั้น แม้ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 2 ตุลาคม 2538 ของจำเลยที่ 2 จะได้แสดงรายละเอียดว่าเงินที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด 4 ส่วนใน 9 ส่วน เป็นเงินจำนวน48,496,745.08 บาทก็ตาม แต่ศาลมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวให้เพิกถอนการอายัดได้จำนวน 26,492,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งในยอดจำนวนเงินดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เห็นว่า จำนวนเงินที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัดนั้นเพียงพอที่จะนำไปใช้หมุนเวียนดำเนินกิจการของห้างฯ จำเลยที่ 1แล้ว ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถอนเงินจำนวนเกินกว่าที่ศาลมีคำสั่ง แม้จะเป็นเงินดอกเบี้ยของเงินฝากที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการอายัด เพราะเงินดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและจะเป็นประโยชน์ของโจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 2 เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เลิกห้างและมีการชำระบัญชีแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ยกคำร้องฉบับลงวันที่ 16ตุลาคม 2540 ของโจทก์ทั้งสามไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำร้องฉบับลงวันที่ 16ตุลาคม 2540 ของโจทก์ทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

Share