คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1657-1658/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่พิพาทเพราะโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทดังกล่าวกับจำเลยดังนี้ จำเลยเพียงแต่โต้เถียงว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในที่ดินได้อย่างไร มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัย ต่อมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงบอกเลิกการเช่า จำเลยขอซื้อที่ดินที่เช่า และได้ทำสัญญาจะซื้อขายกันแต่ครั้นถึงกำหนดจำเลยไม่ไปทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์และชำระค่าที่ดิน โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดไม่ไปทำการโอนที่พิพาทให้จำเลยตามสัญญาจะซื้อขาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจึงจะอยู่อาศัยในที่พิพาทต่อไปไม่ได้ พิพากษายืน

จำเลยฎีกาขอให้พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คดีนี้จะเป็นคดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์ คือที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 256ของโจทก์ ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยทั้งสองเพียงแต่โต้เถียงว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิอยู่ในที่ดินได้อย่างไร จำเลยทั้งสองมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 256 หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า นั้นแต่อย่างใดเลย คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง ซึ่งได้แก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share