คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1875/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายโดยมีอาวุธมีดและเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ทั้งวรรคสองและวรรคสาม โจทก์ไม่จำต้องระบุวรรคของบทมาตราที่ขอให้ลงโทษมาในคำขอท้ายฟ้องด้วย เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(6) มิได้บังคับไว้เช่นนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ตรงตามที่โจทก์บรรยายฟ้องศาลก็ชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยตามนั้นได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2543 เวลากลางวัน จำเลยลักเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 6,000 บาท ของนางกุมารี หวังแจ่ม ผู้เสียหายไปโดยใช้มีดปลายแหลม 1 เล่ม เป็นอาวุธจี้ขู่เข็ญและแทงผู้เสียหายที่บริเวณไหล่ขวาและชกถูกที่บริเวณใบหน้าของผู้เสียหายหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้นหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน6,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสาม จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 5 ปี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเพียงข้อเดียวซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โดยจำเลยฎีกาว่า คำขอท้ายฟ้องมิได้ระบุว่าประสงค์จะให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคใด ต้องสันนิษฐานในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยคือ ควรลงโทษตามวรรคแรก กำหนดโทษของจำเลยคือจำคุก 5 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 2 ปี 6 เดือน การลงโทษตามมาตรา 339 วรรคสาม เป็นการพิพากษาเกินคำขอในปัญหาตามฎีกาของจำเลยดังกล่าว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายโดยมีอาวุธมีดและเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ทั้งวรรคสองและวรรคสาม โจทก์ไม่จำต้องระบุวรรคของบทมาตราที่ขอให้ลงโทษมาในคำขอท้ายฟ้องด้วย เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) มิได้บังคับไว้เช่นนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสาม ตรงตามที่โจทก์บรรยายฟ้องศาลก็ชอบที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยตามนั้น มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share