คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยทั้งสามไม่พบหลักเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองก่อนหรือขณะทำการก่อสร้างอาคาร จำเลยทั้งสามก็ไม่เคยยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินหรือแจ้งแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตที่ดิน การที่จำเลยทั้งสามปลูกสร้างอาคารถาวรลงในที่ดินของตนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและถือว่าไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11555จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 16652 จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันปลูกสร้างอาคารทำเป็นอพาร์ทเมนต์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 16652 รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านทิศตะวันออกตลอดแนวเขตที่ดิน ขอให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนอาคารส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์ทั้งสองดำเนินการรื้อถอนโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยทั้งสามทำที่ดินของโจทก์ทั้งสองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามปลูกสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยสุจริต ไม่ทราบว่าอาคารที่ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินส่วนที่อาคารรุกล้ำเข้าไป โดยให้ศาลเป็นผู้กำหนดราคาที่ดินให้ หากโจทก์ทั้งสองไม่ยอมจดทะเบียนภารจำยอม ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสองในการจดทะเบียน
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 3 ให้ถูกต้องอาคารส่วนที่ปลูกรุกล้ำเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยทั้งสาม เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรื้อถอนอาคารเลขที่ 144/78 เฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามโฉนดเลขที่ 11555 ตำบลบางพึ่ง อำเภอพระประแกง (เมือง)จังหวัดสมุทรปราการ ออกไป และทำที่ดินของโจทก์ทั้งสองให้อยู่ในสภาพเดิมโดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย คำขอของโจทก์ทั้งสองนอกจากนี้ และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 11555 ตำบลบางพึ่ง อำเภอพระประแดง (เมือง)จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ที่ดินด้านทิศตะวันออกจดที่ดินของจำเลยที่ 3 ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 16652เนื้อที่ประมาณ 3 งาน 43 ตารางวา ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่เดียวกันจำเลยทั้งสามได้สร้างอาคารอพาร์ทเมนต์ในทีดินของจำเลยที่ 3แต่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองเริ่มจากด้านทิศใต้กว้างที่สุดประมาณ 50 เซนติเมตร เป็นรูปชายธงตลอดแนวไปจดด้านทิศเหนือคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 5 ตารางวา มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า จำเลยทั้งสามสร้างอาคารรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยสุจริตหรือไม่ ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าจำเลยทั้งสามมิได้ทราบถึงการเคลื่อนย้ายหลักเขตที่ดินซึ่งไม่ปรากฏสาเหตุอันแท้จริง เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามสำคัญผิดว่าไม่ได้รุกล้ำโดยจำเลยทัั้งสามได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแล้ว จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสามสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยสุจริตนั้น ในข้อนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3เบิกความว่า ที่ดินของจำเลยที่ 3 ยาวตามถนน 48 เมตรลึก 28 เมตร เมื่อปี 2533 จำเลยทั้งสามได้ว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างดำเนินการก่อสร้างอาคารอพาร์ทเมนต์ด้วยทุนทรัพย์ประมาณ 10 ล้านบาท สาเหตุที่มีการก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองอาจเนื่องจากมีรถยนต์บรรทุกแล่นผ่านหน้าที่ดินและจำเลยทั้งสามนำรถยนต์บรรทุกดินเข้าไปถมดินบริเวณก่อสร้างทำให้หลักเขตที่ดินเคลื่อนที่ก็เป็นได้ โจทก์ทั้งสองมีนายวัน แจ้งจำรัส ช่างรังวัดผู้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินเบิกความมีใจความว่า จากการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสองพบว่าที่ดินด้านที่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ 3 บางจุดมีหลักเขตที่ดินส่วนจุดที่รุกล้ำไม่มีหลักเขตที่ดิน พยานจึงใช้หลักไม้แทนโดยให้ฝ่ายโจทก์ทั้งสองและจำเลยนำชี้ ผลจากการรังวัดปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสามรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 5 ตารางวา ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.11 เห็นว่าตามแผนที่ฉบับดังกล่าว ปรากฏว่าส่วนที่รุกล้ำมากที่สุดอยู่ด้านทิศใต้กว้างประมาณ 50 เซนติเมตร เป็นรูปสามเหลี่ยมชายธงยาวตลอดถึงด้านทิศเหนือหากพิจารณาจากรูปแผนที่โฉนดที่ดินของจำเลยที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.12 ด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองแล้ว ด้านทิศใต้ที่มีการรุกล้ำกันดังกล่าวมีหลักเขตที่ดินเลขที่ 5092 ซึ่งจากการรังวัดสอบเขตที่ดินของนายวันดังกล่าวไม่พบหลักเขตที่ดิน แสดงว่าหลักเขตที่ดินหายไป ไม่ใช่หลักเขตที่ดินเคลื่อนไปจากที่เดิมดังที่จำเลยทั้งสามนำสืบกล่าวอ้างส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านว่า ก่อนทำการก่อสร้างเคยพบหลักเขตที่ดินดังกล่าวมาก่อนก็ไม่ได้แสดงว่าจำเลยทั้งสามจะก่อสร้างตามหลักเขตที่ดินที่ถูกต้องข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า ก่อนหรือขณะทำการก่อสร้างอาคารนั้น จำเลยทั้งสามไม่เคยยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเคยแจ้งแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตที่ดินแต่อย่างใด การที่จำเลยทั้งสามปลูกสร้างอาคารถาวรลงในที่ดินของตน เมื่อไม่พบหลักเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองแต่จำเลยทั้งสามกลับละเว้นในสิ่งอันพึงต้องทำดังกล่าวย่อมเป็นที่ตระหนักว่า ผลเสียหายอาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ทั้งสองที่มีที่ดินติดต่อกันหากมีกรณีรุกล้ำเกิดขึ้น จึงไม่ใช่เหตุผลที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะอ้างได้โดยชอบว่าได้ทำไปโดยสุจริตเพราะมีการกำชับผู้รับเหมาก่อสร้างไปแล้วว่าไม่ให้ก่อสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือตามเหตุผลที่จำเลยทั้งสามอ้างในฎีกา การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนอาคารในส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 วรรคสอง คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งสามอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share