คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3500/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสั่งอาวุธปืนซึ่งเป็นของต้องจำกัดตามพระราชบัญญัติศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยใช้ใบอนุญาตอันเป็นหนังสือราชการปลอมแม้จำเลยจะได้ชำระค่าภาษีศุลกากรครบถ้วนเนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้าใจผิดไปว่าอาวุธปืนนั้นได้รับอนุญาตให้นำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยก็เป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวกับของนั้นครบองค์ประกอบความผิดฐานนำของต้องจำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 27 แล้ว การที่จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้นำเข้าในใบขนสินค้าขาเข้าโดยระบุชนิดของอาวุธปืน จำนวน ขนาด ประเทศที่ผลิตหรือสั่งซื้อผิดไปจากใบอนุญาตที่แท้จริง ถือได้ว่าเป็นการสำแดงความเท็จหรือไม่สมบูรณ์ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 99 แล้วและเป็นความผิดโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือหาไม่.

ย่อยาว

คดีทั้งสี่สำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยโจทก์ทั้งสีสำนวนฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันทำปลอมใบอนุญาตให้สั่งหรือนำเข้าซึ่งอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ(แบบ ป.2) และใช้เอกสารปลอมดังกล่าวไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด เพื่อให้ติดต่อสั่งอาวุธปืนจากต่างประเทศซึ่งเป็นของต้องจำกัดมิให้นำเข้า และต่อมาเมื่อบริษัทในต่างประเทศได้ส่งอาวุธปืนมาให้ตามที่จำเลยสั่งแล้ว จำเลยทั้งสองได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำด่านศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพพร้อมกับแบบ ป.2 ปลอม เป็นอาวุธปืนพกรวม 716 กระบอกเป็นเงิน 1,166,749.19 บาท และค่าภาษีเป็นเงิน 499,953.19 บาทซึ่งเป็นความเท็จ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265, 268, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน 2518 ข้อ 2 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,24, 72, 73 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501 มาตรา 6พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2517 มาตรา 3 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 6, 8 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 99พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 4พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2487มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ริบของกลาง จ่ายเงินสินบนให้แก่ผู้แจ้งความเพื่อขอรับเงินสินบนกับจ่ายเงินรางวัลให้เจ้าพนักงานผู้จับและให้นับโทษแต่ละสำนวนติดต่อกัน
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทั้งสี่สำนวน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 99 ให้เรียงกระทงไปตามสำนวนแต่ละสำนวนไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมเป็น 4 กระทงให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 15,000 บาท ปรับจำเลยที่ 2 กระทงละ10,000 บาท รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท ปรับจำเลยที่ 2เป็นเงิน 40,000 บาท ริบของกลาง และให้จ่ายเงินสินบนนำจับให้แก่ผู้แจ้งความนำจับ กับจ่ายเงินให้แก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมายข้อหาอื่นให้ยกทุกข้อหา
โจทก์และจำเลยทั้งสองทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานสำแดงเท็จตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 99 ของกลางคืนเจ้าของ และไม่จ่ายสินบนและเงินรางวัล นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฎีกา โดยอธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่า มีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ต้นฉบับใบอนุญาตแบบป.2 ท่อน 3 ที่จำเลยรับรองสำเนาถูกต้องนั้นเป็นเอกสารปลอม แต่พยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร และการที่จำเลยทั้งสองนำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สำนักงานใหญ่ กับนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเอกสารปลอมนั้นทั้งได้ใช้เอกสารปลอมหลายครั้งหลายหนและหลายฉบับด้วยกัน แสดงว่าจำเลยทั้งสองใช้ใบอนุญาตแบบ ป.2 โดยรู้อยู่ว่าเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมรวม 8 กระทง และสำหรับปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งและนำมาซึ่งอาวุธปืนเพื่อการค้า อันเป็นของต้องจำกัดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อาวุธปืนเป็นของต้องจำกัดตามความหมายของพระราชบัญญัติศุลกากรดังกล่าวเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองสั่งอาวุธปืนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยใช้ใบอนุญาตอันเป็นหนังสือราชการปลอการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานกระทำด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวแก่ของนั้นแม้จำเลยทั้งสองจะได้ชำระค่าภาษีศุลกากรครบถ้วนแล้ว ก็เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรอาจเข้าใจผิดไปว่าอาวุธปืนอันเป็นของต้องจำกัดนั้นได้รับอนุญาตให้นำเข้าถูกต้องตามกฎหมายดังได้วินิจฉัยมาแล้วจำเลยทั้งสองจึงยังหาพ้นจากความผิดดังกล่าวไปไม่ เพราะการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวกับของนั้นครบองค์ประกอบเกี่ยวกับความผิดฐานนำของต้องจำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเป็นประการสุดท้ายคือ จำเลยทั้งสองจะมีความผิดฐานร่วมกันสำแดงเท็จตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 99 หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองสั่งอาวุธปืนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยใช้ใบอนุญาตอันเป็นหนังสือราชการปลอม โดยจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อเป็นผู้นำเข้าในใบขนสินค้าขาเข้าระบุชนิดของอาวุธปืนจำนวน ขนาด ประเทศที่ผลิตหรือสั่งซื้อให้ผิดไปจากใบอนุญาตที่แท้จริง ถือได้ว่าเป็นการสำแดงความเท็จหรือความไม่สมบูรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469ซึ่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16 บัญญัติว่า ให้ถือว่าเป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือหาไม่ ฉะนั้นจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว และความผิดฐานนี้เป็นกรรมเดียวกันกับความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 จึงต้องลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90แต่ในความผิดดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำ4 ครั้ง จึงเป็นความผิดรวม 4 กระทงด้วยกัน ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 การกระทำของจำเลยทั้งสองฐานใช้เอกสารราชการปลอมเป็นความผิดรวม 8 กระทง ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลกระทงละ 2,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี และจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 246มาตรา 27, 99 ให้ลงโทษตามมาตรา 27 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้เป็นความผิดรวม 4 กระทง ให้ปรับจำเลยที่ 1 สี่เท่าของราคาอาวุธปืน รวมค่าอากรรวม 4 กระทง เป็นเงิน 6,666,809.52 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ1 ปี รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 6,682,809.52 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 รวม 12 ปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามมาตรา 29 ริบของกลาง และให้จ่ายเงินสินบนแก่ผู้แจ้งความเพื่อขอรับเงินสินบน กับจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share