แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาเฉพาะในประเด็นเรื่องจำเลยต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกในบัญชีเงินฝาก จำนวน 164,989.30 บาท หรือไม่เท่านั้น ถือว่าจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาเป็นการ โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาต้องถือทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นเมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกจำนวน 207,494 บาท จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยและผู้ร้องได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 128,129,130)
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ นางอนงค์อู่พิมาย ผู้ร้อง เข้าเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 164,989.30 บาทแก่โจทก์ ให้นำที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 40411,18506,9769ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเลขที่ 174หมู่ที่ 13 ตำบลโบสถ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมามาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยให้ได้รับคนละส่วนเท่ากันหากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาแบ่งระหว่างโจทก์ กับจำเลยคนละส่วนเท่ากัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้เงิน จำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 118,123)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฎีกาโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 164,989.30 บาท แก่โจทก์ไม่ชอบนั้น ถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์จำเลยในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จะถือทุนทรัพย์ตามที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นไม่ได้เพราะขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง