คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1994/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ที่จำเลยที่ 1 ยกให้ไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 3 โดยจงใจนิ่งเฉยเสียไม่ไขข้อความจริงที่จำเลยที่ 1เป็นลูกหนี้โจทก์ และใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นหลักประกันไว้ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองนั้น ข้ออ้างที่โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง โจทก์บรรยายฟ้องเฉพาะการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ หรือโจทก์มีสิทธิอย่างใดในอันที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจำนองได้ คำฟ้องโจทก์เฉพาะส่วนที่กล่าวจึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะทำให้จำเลยที่ 3 เข้าใจและต่อสู้คดีได้โดยถูกต้อง คำฟ้องของโจทก์เฉพาะส่วนนี้จึงเคลือบคลุม แต่คำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นที่ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไป40,000 บาท และนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ต่อมาโจทก์คิดว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์หายได้ให้จำเลยที่ 1 ไปขอออกใบแทน แต่จำเลยที่ 1 กลับนำใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน นิติกรรมยกให้จึงเป็นโมฆะนั้น จำเลยทั้งสามหาได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมด้วยไม่ และในปัญหาที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยทั้งสามมิได้ต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ศาลย่อมไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2528จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 40,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มาให้โจทก์ถือไว้เป็นหลักประกัน เมื่อเดือนมีนาคม 2531 โจทก์คิดว่าได้ทำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวหายไป จึงแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบและไปดำเนินการขอออกใบแทน แต่จำเลยที่ 1 กลับนำใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันทั้งสองฝ่ายกับจำเลยที่ 2 ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23มกราคม 2532 โดยไม่มีค่าตอบแทน และโดยจำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 อยู่ กลับนำใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปจดทะเบียนจำนอง จำเลยที่ 3 โดยจงใจนิ่งเสียไม่ใช่ข้อความจริงในการที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ และใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นหลักประกันเมื่อวันที่22 กุมภาพันธ์ 2532 ฉะนั้นนิติกรรมยกให้และจำนองย่อมตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย โจทก์ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 4 มีนาคม2533 ขอให้พิพากษาว่า นิติกรรมการยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3สำหรับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนเสียและให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิมโดยให้ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ต่อไป
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดชี้สองสถานและพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ พิเคราะห์แล้วคำฟ้องของโจทก์ในข้อที่ว่าจำเลยที่ 2 นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754ที่จำเลยที่ 1 ยกให้ไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 3 โดยจงใจนิ่งเฉยเสียไม่ไขข้อความจริงที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์และใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นหลักประกันไว้ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองนั้น เห็นว่า ข้ออ้างที่โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองโจทก์บรรยายฟ้องเฉพาะการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ หรือโจทก์มีสิทธิอย่างใดในอันที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจำนองได้ คำฟ้องโจทก์เฉพาะส่วนที่กล่าวจึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะทำให้จำเลยที่ 3 เข้าใจและต่อสู้คดีได้โดยถูกต้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์เฉพาะส่วนนี้เคลือบคลุมจึงชอบแล้ว แต่คำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นที่ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไป 40,000 บาทและนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ตำบลบ้านกลางอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ต่อมาโจทก์คิดว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์หายได้ให้จำเลยที่ 1 ไปขอออกใบแทน แต่จำเลยที่ 1 กลับนำใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน นิติกรรมยกให้จึงเป็นโมฆะนั้น จำเลยทั้งสามหาได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมด้วยไม่ และในปัญหาที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยทั้งสามมิได้ต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ศาลย่อมไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ในตอนต้นดังกล่าวเคลือบคลุมด้วยนั้น จึงเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะส่วนที่วินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม ให้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกำหนดประเด็นข้อพิพาทสำหรับคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share